Blog Detail

อะไรคือพระราชบัญญัติและอะไรที่ไม่ใช่!

25 เม.ย. 20
Sunete
No Comments

โอ ข้าพระองค์รักพระราชบัญญัติของพระองค์จริงๆ เป็นคำรำพึงของข้าพระองค์วันยังค่ำ(สดุดี 119:97)

เมื่อคุณถามคนอื่นว่าพวกเขาเป็นพลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่ส่วนใหญ่จะได้คำตอบ พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาปฏิบัติตาม โดยทั่วไปแล้วประเทศที่มีระบบกฎหมายประชากรปฏิบัติตามได้ดีและจะมีการคอร์รัปชั่นน้อยก็ย่อมดีกว่าประเทศที่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ประเทศตะวันตกทำได้ดีมากก็เพราะพวกเขามีระบบกฎหมายที่มีพื้นฐานบนคุณค่าของยูเดีย – คริสเตียน (ซึ่งพื้นฐานพระราชบัญญัติจากพระคัมภีร์)

โดยที่เราไม่รู้ตัว ความจริงเราในฐานะพลเมืองเราปฏิบัติตามกฎหมาย ถ้าไม่พันๆ ข้อ อย่างน้อยก็ต้องเป็นร้อยๆ ข้อที่เราปฏิบัติตาม (การจราจร สภารัฐและรัฐบาลกลาง) กฎหมายส่วนใหญ่นั้นไม่ยากที่จะรักษาเพราะมันอยู่ในสามัญสำนึกของคนเราอยู่แล้วในกฎพื้นฐานบางอย่างเช่นอย่าทำกับคนอื่นในสิ่งที่คุณไม่อยากให้พวกเขาทำกับคุณ

มัทธิว 7:12 เหตุฉะนั้น สิ่งสารพัดซึ่งท่านปรารถนาให้มนุษย์ทำแก่ท่าน จงกระทำอย่างนั้นแก่เขาเหมือนกัน เพราะว่านี่คือพระราชบัญญัติและคำของศาสดาพยากรณ์

เมื่อถามคนเกี่ยวกับพระราชบัญญัติของพระเจ้า เราจะสังเกตได้ว่าจะเกิดความรู้สึกทางอารมณ์ด้านลบมากกว่าด้านบวก อารมณ์ที่แสดงออกคือ; มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาพระราชบัญญัติของพระเจ้า ทำให้เราเป็นทาสหรือถูกกักขัง ซึ่งคุณแทบจะไม่เคยได้ยินเลยที่มีใครบางคนบอกว่าพวกเขารักพระราชบัญญัติของพระเจ้ามากแค่ไหนหรือว่าพวกเขาพอใจในพระราชบัญญัติของพระเจ้าเพียงใด เหมือนกับกับดาวิดและเปาโล! อ่านสดุดี 119 บทที่ยาวที่สุดในพระคัมภีร์และทั้งหมดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติของพระเจ้าที่ยอดเยี่ยม!

พระเยซูให้บทสรุปที่ดีมากเกี่ยวกับพระราชบัญญัติของพระเจ้าเมื่อถูกถามว่าอะไรคือพระบัญญัติข้อใหญ่ที่สุด:

มัทธิว 22: 36-40 “อาจารย์เจ้าข้า ในพระราชบัญญัตินั้น พระบัญญัติข้อใดสำคัญที่สุด” พระเยซูทรงตอบเขาว่า “`จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า’ นี่แหละเป็นพระบัญญัติข้อต้นและข้อใหญ่  ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ `จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ พระราชบัญญัติและคำพยากรณ์ทั้งสิ้นก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้”

หัวใจของพระบัญญัติคือ ‘ความรัก’ รักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้านของคุณ ดังนั้นทำไมคนจำนวนมากถึงมีมุมมองที่ไม่ดีเมื่อกล่าวถึงพระราชบัญญัติของพระเจ้า?

ส่วนใหญ่เกิดจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความจริงในพระราชบัญญัติ ในบทความนี้เราจะพยายามสร้างภาพรวมสิ่งที่เป็นพระราชบัญญัติของพระเจ้าและเน้นสิ่งที่มันไม่ใช่พระราชบัญญัติ  เมื่อคุณเข้าใจอย่างแท้จริงว่าพระบัญญัติของพระเจ้าคืออะไรคุณจะเข้าใจว่าทำไมดาวิดบอกว่าเขารักพระราชบัญญัติของพระเจ้าหรือทำไมเปาโลเรียกพระบัญญัติของพระเจ้าว่าเป็นความปีติยินดี ความบริสุทธิ์ ความชอบธรรมและความดี

อะไรที่ไม่ได้เป็นพระราชบัญญัติของพระเจ้า

ผมคิดว่ามันเป็นการดีที่สุดที่จะแก้ไขปัญหานี้ก่อนเพราะความเข้าใจผิดของเราเกี่ยวกับพระบัญญัติของพระเจ้า มันเกี่ยวกับการอ่านพระคัมภีร์และโดยการสันนิษฐานเอาว่านั่นกำลังพูดถึงพระราชบัญญัติของพระเจ้า ในขณะที่กำลังพูดถึงบัญญัติอื่น

เราพบข้อสำคัญนี้ในกิจการ 15: 8-10 คือเปโตรอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาไปเยี่ยมบ้านนายร้อยและการที่พระเจ้ายอมรับพวกเขาโดยการให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้นเขากล่าวว่า  เราไม่ควรใส่แอกอย่างหนักไว้บนไหล่ของคนต่างชาติ ซึ่งพวกเขาหรือบรรพบุรุษของพวกเขายังไม่สามารถแบกไหว

กิจการ 15:8-10 พระเจ้าผู้ทรงทราบจิตใจมนุษย์ได้ทรงรับรองคนต่างชาติ และทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่เขาเหมือนได้ทรงประทานแก่พวกเรา พระองค์ไม่ทรงถือว่าเรากับเขาต่างกัน แต่ทรงชำระใจเขาให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อ  ถ้าอย่างนั้นทำไมบัดนี้ท่านทั้งหลายจึงทดลองพระเจ้า โดยวางแอกบนคอของพวกสาวกซึ่งบรรพบุรุษของเราหรือตัวเราเองก็ดีแบกไม่ไหว

คำสำคัญที่นี่คือ “แอกที่ทั้งเราและบรรพบุรุษของเราแบกไม่ไหว” ส่วนใหญ่จะเชื่อว่าเปโตรกำลังพูดถึงพระราชบัญญัติของพระเจ้า แต่เขาไม่ได้อ้างถึงพระบัญญัติของพระเจ้าเลย เขาอ้างถึงธรรมเนียมของชาวยิว จากบรรพบุรุษของพวกเขา, บัญญัติของมนุษย์ (เทลมุด)

เปโตรกำลังพูดถึงเรื่องราวนี้ในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่อธิบายไว้ในกิจการ 10: 24-33 ซึ่งเขาไปเยี่ยมบ้านนายร้อยหลังจากเขาได้รับนิมิตจากพระเจ้าเกี่ยวกับผืนผ้าที่เต็มไปด้วยสัตว์ที่ไม่สะอาด สังเกตเห็นสิ่งที่เขาพูดในข้อ 28:

จึงกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า คนชาติยิวนั้นจะคบให้สนิทกับคนต่างชาติหรือเข้าเยี่ยมก็เป็นที่พระบัญญัติห้ามไว้ (เป็นบัญญัติของยิว)แต่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้ามหรือมลทิน (กิจการ 10:28)

มันไม่ขัดกับพระบัญญัติของพระเจ้าที่จะไปเยี่ยมคนต่างชาติหรือเกี่ยวข้องกับคนต่างชาติค่อนข้างตรงกันข้าม พระราชบัญญัติของพระเจ้าบอกเราว่าพวกเขาควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในพวกเขาเอง

เลวีนิติ 19:33-35 เมื่อคนต่างด้าวอาศัยอยู่กับเจ้าในแผ่นดินของเจ้า อย่าข่มเหงเขา คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่กับเจ้านั้นก็เหมือนกับชาวเมืองของเจ้า เจ้าจงรักเขาเหมือนกับรักตัวเอง เพราะว่าเจ้าเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์ เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า  เจ้าอย่ากระทำผิดในการพิพากษา ในการวัดยาว หรือชั่งน้ำหนักหรือนับจำนวน

กันดารวิถี 15:14-16 ถ้าคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่กับเจ้า หรือคนหนึ่งคนใดท่ามกลางเจ้าตลอดชั่วอายุของเจ้าจะใคร่ถวายเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า ก็ให้เขาทั้งหลายกระทำเหมือนเจ้าทั้งหลายได้กระทำนั้น จะต้องมีกฎอย่างเดียวกันสำหรับชุมนุมชนและสำหรับคนต่างด้าวผู้มาอาศัยอยู่กับเจ้า เป็นกฎถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้า คือเจ้าเป็นอย่างใด คนต่างด้าวก็เป็นอย่างนั้นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ จะต้องมีพระราชบัญญัติอย่างเดียวกันและลักษณะอย่างเดียวกันสำหรับเจ้าและสำหรับคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่กับเจ้า”

ชาวยิวในเวลานั้นไม่เพียง แต่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังอยู่ภายใต้บัญญัติของยิวด้วย หนึ่งในหัวข้อในกิจการ 15 คือคำถามว่าผู้เชื่อชาวต่างชาติจำเป็นต้องเข้าสุหนัตหรือไม่ เมื่อคนต่างชาติเปลี่ยนมาเป็นยิวโดยผ่านการเข้าสุหนัตพวกเขาไม่เพียงแต่ต้องรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบัญญัติของยิวที่พวกยิวคนอื่นบังคับ! นี่คือสิ่งที่เปโตรกำลังต่อต้าน!

เรามีตัวอย่างมากมายนับไม่ถ้วนที่พระเยซูกำลังต่อสู้กับพวกฟาริสีในเรื่องเกี่ยวกับว่าพวกเขาเหล่านี้ที่สร้างพระบัญญัติขึ้นมา มีบางตัวอย่าง:

  • มาระโก 7: 1-13 สาวกของพระเยซูไม่ได้ล้างมือก่อนกิน
  • หรือในคราวนั้นพระเยซูเสด็จไปในทุ่งนาในวันสะบาโต และพวกสาวกของพระองค์หิวจึงเริ่มเด็ดรวงข้าวมากิน (มัทธิว 12: 1, มาระโก 2:23)
  • เปาโลถูกกล่าวหาว่านำคนต่างชาติเข้ามาในพระวิหารและกระทำการทำให้วิหารเป็นมลทิน (กิจการ 21:28) ในขณะที่เราอ่านในกันดารวิถี 15:14 นั่นให้ทุกคนสามารถนำเครื่องบูชามาถวายแด่พระเจ้าได้

คุณสามารถหาตัวอย่างอื่น ๆ อีกมากมาย แต่เมื่อคุณทดสอบในพระคัมภีร์คุณจะพบว่าเหล่านี้ไม่ใช่ พระราชบัญัติของพระเจ้า แต่เป็นบัญญัติของมนุษย์ เป็นประเพณีของบรรพบุรุษของยิวเรียกว่า บัญญัติปากเปล่า (เทลมุด) พระเยซูกล่าวถึงเอาภาระหนักและแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ :

มัทธิว 23:2-4 ว่า “พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส เหตุฉะนั้นทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขา อย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่ ด้วยเขาเอาภาระหนักและแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย

ดังที่เราเห็นจากสิ่งที่พระเยซูกล่าวไว้เหตุผลสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้เราเชื่อว่า พระราชบัญญัตินั้นยากเกินกว่าที่จะปฏิบัติตามได้เพราะเราผสมผสาน’บัญญัติของมนุษย์’กับพระราชบัญญัติของพระเจ้า

มีอีกเหตุผลที่เราเชื่อว่าพระราชบัญญัติของพระเจ้าเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาหรือปฏิบัติตามได้ เป็นเพราะหลักคำสอนของคริสตจักรสอนเราว่าในสมัยพันธสัญญาเดิมคนที่จะได้รับความรอดได้ก็โดยการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้น  และตอนนี้เป็นยุคพันธสัญญาใหม่คนเราจะได้รับความรอดก็โดยพระคุณผ่านความเชื่อแทน นี่ไม่ใช่แนวคิดในพระคัมภีร์ แต่เป็นหลักคำสอนของคริสตจักร!

ลองพยายามที่หาที่ใดก็ได้ในพันธสัญญาเดิมที่คนอิสราเอลบอกว่าพวกเขาจะพบความรอดโดยปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ คุณจะพบว่าไม่มีที่ไหนเลย คุณจะพบว่าความรอดนั้นเกิดจากความเชื่อเพียงอย่างเดียว บางสิ่งที่เปาโลพยายามทำให้ชัดเจนทั้งในโรมและกาลาเทีย เมื่อเปาโลกล่าวในกาลาเทีย 3:11 “ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครชอบธรรมได้ต่อพระพักตร์พระเจ้าโดยปฎิบัติตามพระราชบัญญัติ ‘คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ'” จริง ๆ แล้วเขาอ้างถึงพันธสัญญาเดิมในฮาบากุก 2: 4 … แต่ว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ ดูในโรม 4: 2-3:

โรม 4:2-3 เพราะถ้าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมโดยการประพฤติ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้ แต่มิใช่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ด้วยว่าพระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า `อับราฮัมได้เชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’

ดังที่เราเห็นได้ว่าไม่ใช่พันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่หรือแนวคิดของพันธสัญญาใหม่ความรอดนั้นเกิดขึ้นได้จากความเชื่อ ในความคิดของผมเห็นว่าคนที่พูดแบบนี้ไม่เข้าใจในพันธสัญญาใหม่ และสอนสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้จากหลักคำสอนของคริสตจักรเท่านั้น

หลักคำสอนของคริสตจักรเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้คนมีความเข้าใจในแง่ลบเกี่ยวกับพระราชบัญญัติของพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการปฎิบัติตามพระราชบัญญัติของพระองค์เพื่อความรอด แต่พระเจ้าต้องการให้เราปรารถนาด้วยใจของเราที่จะปฎิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์และความปรารถนานี้สะท้อนให้เห็นในการกระทำของเราโดยทำสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ พระองค์ต้องการให้เรารักษาพระราชบัญญัติของพระองค์เพื่อแสดงความรักของเราต่อพระองค์ จำไว้ว่าพระราชบัญญัติของพระองค์นั้นเกี่ยวกับความรัก!

พระบัญญัติในนิยามของเปาโล

แต่ถ้าเป็นตามโรม 7 เปาโลบอกชัดเจนว่าเขาไม่สามารถหยุดทำสิ่งที่ผิดได้อย่างเด็ดขาดดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย โรม 7 + 8 เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจเปาโลเมื่อเขาพูดถึงพระบัญญัติ เพราะในบทเหล่านี้เขาไม่เพียง แต่พูดถึงพระราชบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้น แต่เขายังระบุอีก 3 บัญญัติ:

  1. บัญญัติแห่งบาป (โรม 7:23)
  2. บัญญัติแห่งพระวิญญาณ (โรม 8:2)
  3. บัญญัติแห่งบาปและความตาย (โรม 8:2)

เหล่านี้บทที่ 2 เหล่านี้สมบูรณ์แบบเพื่อแสดงว่าอะไรคือพระบัญญัติของพระเจ้าและอะไรไม่ใช่! หลักคำสอนของคริสตจักรสอนว่าพระราชบัญญัติทำให้เกิดการเป็นทาสและกักขังเรา ที่พวกเขาสอนเช่นนี้ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เปาโลบอกเราในบทที่ 2 นี้ เปาโลอธิบายที่นี่สิ่งที่ก่อให้เกิดการเป็นทาสและสิ่งที่เป็นทาสและเกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติของพระเจ้าอย่างไร

โรมบทที่ 7 เปาโลวาดภาพความขัดแย้งระหว่างพระบัญญัติของพระเจ้าและบาปเปาโลกล่าวในบทนี้ว่าพระบัญญัติของพระเจ้าคือ:

  • บริสุทธิ์, ชอบธรรมและความดี
  • จิตวิญญาณ
  • ความปีติยินดี

แต่เขาสงสัยว่าทำไมพระราชบัญญัติดี บริสุทธิ์และชอบธรรมทำให้เกิดความขัดแย้งภายในจิตใจของใครบางคน

โรม 7:15 ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น

โรม 7:17 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ

เปาโลพบคำตอบสำหรับปัญหาของเขาในตอนท้ายของบทที่ 7:

โรม 7:21 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเป็นกฎอย่างหนึ่ง คือเมื่อใดข้าพเจ้าตั้งใจจะกระทำความดี ความชั่วก็ยังติดอยู่ในตัวข้าพเจ้าเพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าชื่นชมในพระราชบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในอวัยวะของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาปซึ่งอยู่ในอวัยวะของข้าพเจ้า

ไม่ใช่พระราชบัญญัติของพระเจ้าที่เป็นทาสหรือก่อให้เกิดความเป็นทาส แต่เป็นบัญญัติแห่งบาปที่ทำเช่นนี้ เปาโลพบบัญญัติหนึ่งในร่างกายของเขาและเรียกมันว่ากฎแห่งบาปนี้ต่อต้านพระราชบัญญัติของพระเจ้าโดยตรงเมื่อเราอ่านในข้อ 23

ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเยซูทรงทำเพื่อเราบนกางเขนได้อย่างไรในข้อสุดท้ายของบทที่ 7 และ 2 ข้อแรกของบทที่ 8:

โรม 7:24- 25  โอ ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจจริง ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้ได้ ขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

โรม 8:1-2 เหตุฉะนั้นบัดนี้การปรับโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ  เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย 

เราอ่านนั้นที่นี่:

บัญญัติของพระวิญญาณแห่งชีวิตทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากบัญญัติแห่งบาปและความตาย 

และให้เราอ่านใน 1โครินธิ์ 15:21-22 และต่อไป:

เพราะว่าความตายได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์คนหนึ่งเป็นเหตุฉันใด การเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นเหตุฉันนั้น
เพราะว่าคนทั้งปวงต้องตายเกี่ยวเนื่องกับอาดัมฉันใด คนทั้งปวงก็จะกลับได้ชีวิตเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์ฉันนั้น  (1โครินธ์ 15:21-22)

ดังนั้นที่นี่เราพบกฎอีก 2 ข้อที่เปาโลนิยามและเหล่านนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับคำสาปของอาดัมและพรของพระคริสต์:

  1. บัญญัติแห่งบาปและความตาย (คำสาปแช่งของอาดัม – ความตายผ่านคนเดียว)
  2. บัญญัติแห่งพระวิญญาณแห่งชีวิต (ดำเนินชีวิตตามพระคริสต์ลบล้างคำสาปแช่งของอาดัม)

พระบัญญัติของพระเจ้าไม่ได้นำความตายมา แต่ “บัญญัติแห่งบาปและความตาย” = “คำสาปของอดัม” ใช่พระเยซูไม่ได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากพระราชบัญญัติแต่พระองค์ให้เราเป็นอิสระจาก “บัญญัติแห่งบาปและความตาย” สิ่งนี้เป็นหัวใจของพันธสัญญาใหม่ (บัญญัติแห่งพระวิญญาณแห่งชีวิต)

เอเศเคียล 36:26-27 Eze 36:26 เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และจะให้ใจเนื้อแก่เจ้า และเราจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้า และกระทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และเจ้าจะรักษาคำตัดสินของเราและกระทำตาม (จะรักษาพระราชบัญญัติและทำตาม)

ฉันขอแนะนำให้ศึกษาคำจำกัดความทั้งหมดของเปาโลเกี่ยวกับพระบัญญัติและลักษณะต่าง ๆ ของเปาโลมันจะช่วยให้เข้าใจสิ่งที่เปาโลเขียนในจดหมายของเขาทั้งหมด เพื่อให้สรุปสิ่งที่เราพบในรอม 7 และ 8:

  • พระบัญญัติของพระเจ้า (บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดี ปีติยินดี พระวิญญาณ ให้รู้ว่าบาป อวยพรเราเมื่อเรารักษาแต่สาปแช่งเราเมื่อเราไม่รักษาหรือทำตาม)
  • บัญญัติแห่งบาป (ตรงข้ามกับพระบัญญัติของพระเจ้า, เป็นทาส, ถูกคุมขัง, ทำให้เกิดผลแห่งบาป)
  • บัญญัติแห่งบาปและความตาย (คำสาปของอาดัมนำมาซึ่งความตาย)
  • พระบัญญัติแห่งพระวิญญาณและชีวิต (ปลดปล่อยเราให้พ้นจากบัญญัติแห่งบาปและความตาย ช่วยเราต่อต้านความบาป ทำให้เรารู้ตัวว่าทำบาป ส่งผลให้เกิดฝ่ายพระวิญญาณ)

ตัวอย่างเกี่ยวกับวิธีช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เปาโลเขียน:

โรม 6:12-14 เหตุฉะนั้นอย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของกายนั้น 13 อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะของท่านเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า 14 เพราะว่าบาปจะมีอำนาจเหนือท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้(อาจารย์ใหญ่-กาลาเทีย 3:24)  เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้พระราชบัญญัติ (บัญญัติบาปและความตาย) แต่อยู่ใต้พระคุณ

สิ่งที่ทำให้หลักคำสอนของคริสตจักรล้มเหลวคือขาดการทดสอบ สิ่งที่พวกเขาเชื่อในพันธสัญญาเดิมดังที่ชาวเบโรอาทำ (กิจการ 17:11) หากพวกเขาจะทดสอบในแนวคิดที่ว่าพระราชบัญญัติทำให้เราเป็นทาส แต่พวกเขาก็จะพบว่าในพระคัมภีร์เดิมจริงๆ แล้วมันตรงกันข้าม:

สดุดี 119:44-48 ข้าพระองค์จะรักษาพระราชบัญญัติของพระองค์สืบๆไปเป็นนิจกาล 45 และข้าพระองค์จะเดินอย่างเสรีเพราะข้าพระองค์ได้แสวงข้อบังคับของพระองค์ 46 ข้าพระองค์จะพูดถึงพระโอวาทของพระองค์ต่อเบื้องพระพักตร์บรรดากษัตริย์และจะไม่ขายหน้า 47 ข้าพระองค์จะปีติยินดีในพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์รัก 48 ข้าพระองค์จะยกมือต่อพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งข้าพระองค์รัก และข้าพระองค์จะรำพึงถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์

เราได้รับคำเตือนจากเปโตรในคำพูดสุดท้ายของเขาว่าสิ่งที่เปาโลเขียนจะถูกนำออกไปจากบริบทและเราควรระวังเพื่อที่เราจะได้ไม่ถูกพรากไปจากความผิดพลาดของคนที่ไม่มีพระบัญญัติผิดศีลธรรม!

2เปโตร 3:15-17 และจงถือว่า การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอดกลั้นพระทัยไว้นานนั้นเป็นการช่วยให้รอด ดังที่เปาโลน้องที่รักของเราได้เขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลายด้วย ตามสติปัญญาซึ่งพระองค์ได้ทรงโปรดประทานแก่ท่านนั้น 16 เหมือนในจดหมายของท่านทุกฉบับ ท่านได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านั้น และในจดหมายนั้นมีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่ไม่ได้เรียนรู้และไม่แน่นอนมั่นคงนั้นได้เปลี่ยนแปลงเสีย เหมือนเขาได้เปลี่ยนแปลงข้ออื่นๆในพระคัมภีร์ จึงเป็นเหตุกระทำให้ตัวพินาศ 17 เพราะเหตุนั้น พวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายรู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว ท่านก็จงระวังให้ดี เกรงว่าท่านอาจจะหลงไปกระทำผิดตามการผิดของคนชั่ว และท่านทั้งหลายจะสูญเสียความหนักแน่นมั่นคงของท่าน (คนไม่มีพระบัญญัติ = คนที่ไม่เชื่อว่าพระบัญญัติจะใช้กับพวกเขาได้)

คุณอาจเคยได้ยินข้อโต้แย้งว่ามีพระราชบัญญัติมากกว่า 600 กฎและไม่มีใครสามารถปฏิบัติตามได้ทั้งหมด อย่างที่เราเห็นในตอนต้นแล้วในฐานะพลเมืองเราปฏิบัติตามกฎหมาย อย่างน้อยก็ต้องเป็นร้อยๆ กฎหากไม่เป็นพัน ๆ กฎ  ตอนนี้ คล้ายกันมากกับพระราชบัญญัติของพระเจ้า พระบัญญัติจำนวนมากมันอยู่ในสามัญสำนึกของคนเราอยู่แล้วในกฎพื้นฐาน ส่วนบัญญัติอื่น ๆ นั้นจะนำไปใช้เฉพาะพวกปุโรหิตที่ต้องทำพิธีต่างในพระวิหาร ซึ่งไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกในทุกวันนี้ เพราะพระวิหารถูกทำลายแล้วในปี 70 AD พระราชบัญญัติข้ออื่น ๆ มีความเฉพาะเจาะจงสำหรับกลุ่มเป้าหมายบางกลุ่มและเช่นเดียวกับที่ถูกกำหนดให้รักษาโดยกลุ่มเป้าหมายนั้นซึ่งคล้ายกับกฎหมายจราจรเกี่ยวกับการขับรถยนต์หากคุณไม่ได้ขับรถ กฎหมายจราจร เหล่านั้นจะไม่สามารถใช้ได้กับคุณ

เมื่อเราดูที่การพิจารณาในยากอบในเรื่องพระบัญญัติที่ให้ทำตาม ในกิจการ 15: 19-21 เกี่ยวกับผู้เชื่อต่างชาติที่เราอ่าน ให้งดเว้นเสียจากสิ่งที่มลทินเนื่องด้วยรูปเคารพ จากการล่วงประเวณี จากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และจากการรับประทานเลือด นอกจากนี้เรายังอ่านบางสิ่งที่คริสเตียนคณะต่างๆ ส่วนใหญ่ข้ามไปด้วย นั้นคือการเรียนพระราชบัญญัติส่วนที่เหลืออื่น ๆ ซึ่งพวกเขาจะเรียนเพิ่มเติมในธรรมศาลาทุกวันสะบาโต!

เราไม่ได้ถูกคาดหวังทันทีจะเข้าใจพระบัญญัติทั้งหมดวิธีที่เราจะนำมาใช้ก็โดยการได้เรียนรู้ พระรชบัญญัติเหล่านั้นในวันสะบาโตเราศึกษาพระบัญญัติของพระเจ้า และอ่านโทราห์พร้อมกันทั่วโลกในทุกวันสะบาโต(วันเสาร์) ซึ่งจะสามารถอ่านโทราห์ทั้งหมดได้ภายในหนึ่งปีครบอย่างสมบูรณ์ในธรรมศาลา โดยเริ่มจากปฐมกาล 1: 1 ทันทีหลังจากงานเลี้ยงฉลองเทศกาลอยู่เพิง (Sukkot) ในวันที่แปดของเทศกาล https://en.wikipedia.org/wiki/Weekly_Torah_portion

พระราชบัญญัติของพระเจ้าไม่ใช่ภูเขาที่เป็นไปไม่ได้ที่เราจะปีนขึ้นไป แต่เป็นความลาดชันมากกว่าและเมื่อเราทดสอบความคิดที่ว่าพระราชบัญญัติของ พระเจ้านั้นยากเกินไป ด้วยข้อพระคัมภีร์เองเราอ่านพบว่าพระราชบัญญัติของพระเจ้าไม่เป็นภาระหรือยากเกินไปที่จะปฏิบัติตาม:

1 ยอห์น 5:3 เพราะนี่แหละเป็นความรักต่อพระเจ้า คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นที่หนักใจ

ฉธบ 30:11 เพราะว่าพระบัญญัติซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ ไม่ได้ปิดบังไว้จากท่าน และไม่ห่างเหินเกินไปด้วย

หวังว่าคุณจะเริ่มเห็นว่าอารมณ์เชิงลบอย่างมากที่เกี่ยวพระราชบัญญัติของพระเจ้านั้นเกิดจากเราไม่เข้าใจพระบัญญัติของพระเจ้าคืออะไร ดังนั้นให้เราเริ่มดูว่าจริงๆ แล้วอะไรคือพระราชบัญญัติของพระเจ้า

พระราชบัญญัติของพระเจ้าคืออะไร

ผมต้องสรุปพระราชบัญญัติของพระเจ้าโดยใช้คำเดียว ที่เราอ่าน:

  • สมบูรณ์แบบ (สดุดี 19: 7)
  • การตัดสินที่ชอบธรรม (เนหมีย์ 9:13)
  • ดี (สุภาษิต 4: 2, โรม 7:12)
  • ชีวิต (สุภาษิต  6:23)
  • ความจริง (สดุดี 119: 142)
  • แสงสว่าง (อิสยาห์ 8: 20, สดุดี 119: 105, สุภาษิต 6:23)
  • ทาง (มาลาคี 2: 8, Psa 119: 32, สดุดี 1: 6, สุภาษิต 6:23)
  • อิสรภาพ (สดุดี 119: 45)
  • บริสุทธิ์ (โรม 7:12)
  • ปีติยิน (สดุดี 1: 2, โรม 7:22)
  • ไม่เป็นภาระหรือยากที่จะทำตาม (ฉธบ 30: 11,1ยอห์น 5: 3)

พระเยซูยังทรงแสดงให้เราเห็นในมัทธิว 22: 36-40 ด้วยว่าหัวใจของพระราชบัญญัติของพระเจ้าคือความรัก เมื่อเราดูความหมายของคำว่าโทราห์จริงๆแล้วมันหมายถึงคำแนะนำ

คำว่า “โทราห์” ในภาษาฮิบรูมาจากรากירהซึ่งในการผันคำกริยา หมายถึง ‘นำทาง’ หรือ ‘สอน’ (เปรียบเทียบเลวีนิติ 10:11) ความหมายของคำนั้นจึงเป็น “การสอน” “หลักคำสอน” หรือ “คำสั่ง”; “คำแนะนำ” เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป พระบัญญัติให้ความรู้สึกสิ่งที่ผิด (https://en.wikipedia.org/wiki/Torah)

พระบัญญัติของพระเจ้า = คำสั่งของพระเจ้าสำหรับเรา เมื่อคุณคิดถึงสิ่งนี้คุณจะเริ่มตระหนักว่าพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าคือคำแนะนำของพระองค์สำหรับเรา เราเห็นในพระคัมภีร์หลายข้อว่าพระราชบัญญัติมีการอ้างว่า “คำพูดของพระองค์” เราเห็นสิ่งนี้ใน 1 ยอห์น 2: 3-6:

เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์โดยข้อนี้ คือถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  คนใดที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นก็เป็นคนพูดมุสา และความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย แต่ผู้ใดที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็สมบูรณ์อยู่ในคนนั้นอย่างแท้จริง ด้วยอาการอย่างนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์ ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้นด้วย(1 ยอห์น 2:3-6 )

นอกจากนี้เราอ่านในสดุดี 119 เกี่ยวกับสิ่งที่พระราชบัญญัติของพระเจ้าเป็นจริงและคล้ายกับสิ่งที่เราเห็นใน 1 Jn 2: 3-6 เราเห็นว่าคำว่า ‘พระบัญญัตฺของพระองค์’ และ ‘พระคำของพระองค์’ นั้นใช้แทนกันได้ เมื่อเราเริ่มเข้าใจว่าพระบัญญัติของพระเจ้าคืออะไรจริง ๆ แล้วมันจะเปลี่ยนเรา!

เราทุกคนรู้ว่าพระเยซูคือ “พระคำ”:

ยอห์น 1:1 ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า

แต่เราก็อ่านสิ่งที่พระเยซูพูดเกี่ยวกับพระองค์เองด้วย:

ยอห์น 8:12 …. พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”

ยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา

ในทางกลับกันเราเห็นแล้วว่าพระบัญญัติของพระเจ้าคือ:

  • เป็นทางนั้น  (มาลาคี 2: 8, สดุดี 119: 32, สดุดี 1: 6, สุภาษิต 6:23)
  • เป็นความจริง (สดุดี 119: 142)
  • เป็นชีวิต (สุภาษิต 6:23)
  • เป็นแสงสว่าง (อิสยาห์ 8:20, สดุดี 119: 105, สุภาษิต 6:23)

กล่าวอีกนัยหนึ่งพระเยซูคือพระบัญญัติ (พระเยซู = พระคำ = พระราชบัญญัติ)! พระองค์คือพระราชบัญญัติที่เป็นตัวตน!

ถ้าเรารักพระคริสต์เรารักพระราชบัญญัติ บางสิ่งใน  1ยอห์น 2: 3-6 และ 1ยอห์น 5: 2-3 จะช่วยทำให้ชัดเจนสำหรับเรา:

1 ยอห์น 2:3-6 เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์โดยข้อนี้ คือถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  คนใดที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นก็เป็นคนพูดมุสา และความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย แต่ผู้ใดที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็สมบูรณ์อยู่ในคนนั้นอย่างแท้จริง ด้วยอาการอย่างนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์ ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้นด้วย

1 ยอห์น 5:2-3 เมื่อเราทั้งหลายรักพระเจ้าและได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราจึงรู้ว่าเรารักคนทั้งหลายที่เป็นบุตรของพระเจ้า
เพราะนี่แหละเป็นความรักต่อพระเจ้า คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นที่หนักใจ 

เมื่อเราเข้าใจว่าพระเยซูทรงเป็นตัวตนของพระราชบัญญัติและเราในฐานะสาวกของพระองค์ต้องดำเนินชีวิตตามอย่างที่พระองค์ทรงทำ เริ่มมีความหมายมากขึ้น พระเยซูคือตัวอย่างของเราและเราในฐานะที่เป็นสาวกของพระองค์จะต้องปฏิบัติตาม

ข้อพระคัมภีร์เช่น โรม 10:14  ที่ คำว่า จุดจบ จริงๆ แล้ว หมายถึง ‘จุดสิ้นสุดของเป้าหมาย’ หรือ ‘เป้าหมาย’ เริ่มที่จะทำให้เข้าใจมากขึ้น:

โรม 10:4 พระคริสต์ทรงเป็นจุดจบ telos (τέλος)  ของพระราชบัญญัติ  เพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อได้รับความชอบธรรม

เทโลส telos (จากกรีกςοςสำหรับ “สิ้นสุด”, “วัตถุประสงค์” หรือ “เป้าหมาย”) เป็นจุดสิ้นสุดหรือจุดประสงค์ในความหมายที่ค่อนข้าง จำกัด ที่ใช้โดยนักปรัชญาเช่นอริสโตเติล มันเป็นรากเหง้าของคำว่า “teleology” การศึกษาเกี่ยวกับจุดประสงค์อย่างคร่าว ๆ หรือการศึกษาวัตถุ กับมุมมองไปยังเป้าหมายของพวกเขา เพื่อวัตถุประสงค์หรือความตั้งใจ

สิ่งนี้แสดงให้เห็นในวิธีที่เราสามารถพูดได้ว่าเทโลสแห่งสงครามคือชัยชนะหรือธุรกิจที่สร้างความมั่งคั่ง

เทโลส แห่งพระบัญญัติคือพระคริสต์!

เมื่อเราเชิญพระเยซูเข้ามาในใจเราจะได้เชิญพระราชบัญญัติของพระเจ้าเข้ามาในใจของเราด้วยซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของพันธสัญญาใหม่!

สรุป:

ตอนนี้เรารู้แล้วว่าพระเยซูคือพระราชบัญญัติของพระเจ้ามันไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมดาวิดถึงบอกว่าเขารักพระบัญญัติของพระเจ้าและทำไมเปาโลเรียกพระบัญญัติของพระเจ้าว่าเป็นความปีติยินดี  ความบริสุทธิ์ และความดี อ่านสดุดี 119 และค้นพบอีกว่าพระราชบัญญัติของพระเจ้านั้นวิเศษเพียงใด!

อิสรภาพไม่พบนอกพระราชบัญญัติ นอกพระราชบัญญัติเป็นอนาธิปไตย(ขาดการปกครอง)  เสรีภาพถูกพบในพระราชบัญญัติในพระคริสต์!

ขอให้พระเจ้าอวยพรท่านและอย่าลืมทดสอบทุกสิ่ง!