(CONTEXT – TEXT = CON)
(บริบท – ข้อความต้นฉบับ = กล ลวง)
ในอดีตศิษยาภิบาลของเราบอกเราว่า “ถ้าคุณเอาข้อความออกจากบริบทจะเหลือไว้ให้คุณแค่ กล ลวง” (บริบท – ลบข้อความต้นฉบับ = กล ลวง)! นี่เป็นเรื่องจริงและยิ่งเราอ่านพระคัมภีร์มากขึ้นตามข้อความในบริบทอย่างเหมาะสม. พระคำของพระเจ้ายิ่งเริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังแสดงให้เราได้เห็นว่าการสอนพระคัมภีร์โดยทั่วไปในคริสตจักรทุกวันนี้ เน้นไปที่ข้อพระคัมภีร์บางข้อเท่านั้น.โดยที่ไม่ได้มองไปที่ข้อความในบริบทนั้นอย่างเหมาะสม
คริสตจักรวันอาทิตย์ครั้งสุดท้ายที่เราไปร่วมนมัสการด้วยเป็นคริสตจักรของคณะแบ๊บติสต์. และในขณะที่เราเข้าร่วมกับคริสตจักรแห่งนั้นเราได้ศึกษาพระคัมภีร์ที่น่าสนใจมากที่ชื่อว่า “การทรงสร้างสู่พระคริสต์” โดยการศึกษานี้เพื่อทำความเข้าใจในการอ่านพระคัมภีร์ตามจริงในบริบท ซึ่งมันสร้างความเข้าใจของเราดียิ่งขึ้นในพระคัมภีร์และนั่นได้เปลี่ยนชีวิตพวกเราอย่างมาก!
เริ่มต้นจากการทรงสร้าง. และหนึ่งในเรื่องราวที่คุณได้รับรู้อย่างรวดเร็วคือ เรื่องของอดัมและเอวา และสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับคาอิน คือเขารู้ว่าพระเจ้าต้องการ การนมัสการอย่างไร? แต่เขาเลือกที่จะทำตามรูปแบบของเขาเอง และพระเจ้าทรงปฏิเสธวิธีที่เขานมัสการพระองค์ จากสิ่งนี้เราไม่เพียงแต่เห็นว่าพระเจ้าทรงยืนยันถึงวิธีนมัสการพระองค์ ซึ่งเป็นบัญญัติของพระเจ้ามีมาตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนที่จะเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร และพวกเขารู้ในใจของพวกเขาว่าควรจะทำอย่างไร
คาอินฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระเจ้าโดยไม่นมัสการพระเจ้าตามรูปแบบที่เป็นคำสั่งของพระองค์. และพระเจ้าบอกให้เขารู้ว่าพระองค์ไม่ยอมรับวิธีการถวายเครื่องเผาบูชาของเขา
เราเห็นว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับอิสราเอล ตอนที่พวกเขาถูกนำออกจากอียิปต์ เมื่อโมเสสใช้เวลานานเกินไปก่อนที่จะกลับลงมาจากภูเขาซีนายเพื่อรับพระบัญญัติของพระเจ้านั้น ลูกหลานของอิสราเอลสันนิษฐานว่าเขาตายแล้วและขอให้อาโรนทำ เอล โล เฮม การตีความในพระคัมภีร์ส่วนใหญ่แปลว่าเป็นพระเจ้าอื่น ๆ แต่จริง ๆ แล้วที่ใช้กันเป็นจำนวนมากในพระคัมภีร์อ้างอิงถึง “พระเจ้าองค์เดียว” การตีความหมายที่ดีกว่าในกรณีนี้ที่ใช้กันอยู่จากตัวอย่าง: ปฐมกาล 1: 1-2
ปฐมกาล 1: 1-2 ในเริ่มแรกนั้นพระเจ้า (เอล โล เฮม el-o-heem) ทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก แผ่นดินโลกนั้นก็ปราศจากรูปร่างและว่างเปล่าอยู่ ความมืดอยู่เหนือผิวน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือผิวน้ำนั้น
พวกเขาไม่ต้องการให้อาโรน สร้างพระเจ้าอื่นหรือเพื่อการเริ่มบูชารูปเคารพแต่อย่างไร เพียงแค่พวกเขาต้องการให้อาโรนสร้างภาพลักษณ์ของพระเจ้าที่นำพวกเขาออกจากอียิปต์เพราะพวกเขาเชื่อว่าโมเสสตายแล้วและเขาเป็นคนเดียวที่ติดต่อ กับพระเจ้า ดังนั้นคนอิสราเอลจึงพยายามทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยมือของพวกเขาเองและนมัสการพระเจ้าด้วยวิธีของพวกเขาเอง!
เราเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกว่ามนุษย์พยายามที่จะนมัสการพระเจ้าในแบบของพวกเขาเองในขณะที่พระเจ้าได้ให้คำแนะนำที่ชัดเจนในพระคัมภีร์ว่าพระองค์ต้องการให้เรานมัสการพระองค์อย่างไร!
และผลปรากฏว่าเราเองก็ไม่แตกต่างจากคนอิสราเอลมากนัก ตราบใดที่เรายังรับใช้พระเจ้าตามทางของเราอยู่ คุณกำลังรับใช้พระเจ้าด้วยวิธีของคุณอยู่หรือไม่? (ให้ตั้งคำถามกับตัวเอง)
อะไร คือสิ่งที่เราเชื่อ
ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้เราเชื่อว่าเราต้องนมัสการพระเจ้าในรูปแบบที่พระองค์สั่งเราตามพระคัมภีร์ไม่ใช่ในรูปแบบของเราเอง เราเชื่อว่าพระคัมภีร์ทั้งทั้งหมดทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่มีผลบังคับใช้กับคริสเตียนในทุกวันนี้ซึ่งรวมถึงบัญญัติของของโมเสส บัญญัติเรื่องอาหาร ที่พบได้ในเลวีนิติบทที่ 11และการเลี้ยงฉลองเทศกาลรวมถึงวันสะบาโตซึ่งเราพบในเลวีนิติบทที่ 23 และเป็นแนวทางของพระเจ้าสำหรับเรา พระองค์ต้องการที่จะได้รับการนมัสการการยกย่องสรรเสริญ
2 ทิโมธี 3:16-17 พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในเรื่องความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะดีรอบคอบ พรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
เมื่อคุณพูดถึงบัญญัติของโมเสส หลายคนเริ่มคิดว่าเชื่อโดยการกระทำถึงจะได้รับความรอด ดังนั้นเพื่อให้ชัดเจน:
เราเชื่อว่าเราได้รับความรอดโดยพระคุณโดยความเชื่อในพระเยซูเพียงอย่างเดียวและไม่มีใครสามารถรอดได้จากการกระทำหรือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ! การรักษาพระราชบัญญัติด้วยการเชื่อฟังพระเจ้านั้นไม่เหมือนกับการใช้หรือฏิบัติตามพระบัญญัติเพื่อรับความรอด!
พระคำของพระเจ้าทรงเป็น เมล็ดพันธุ์ ความเชื่อศรัทธาของเรา เป็นรากฐาน และการเชื่อฟังของเรา เป็นผล!
เราเชื่อว่าพระเจ้าเป็นเหมือนวันนี้เหมือนที่พระองค์เป็นเมื่อวานนี้และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปไม่มีเปลี่ยนแปลง
มาลาคีย์ 3:6-7เพราะว่า เราคือพระเจ้าไม่มีผันแปร บุตรชายยาโคบเอ๋ย เจ้าทั้งหลายจึงไม่ถูกเผาผลาญหมด เจ้าได้หันเหไปเสียจากกฎของเราและมิได้รักษาไว้ตั้งแต่ครั้งสมัยบรรพบุรุษของเจ้า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้าจงกลับมาหาเรา และเราจะกลับมาหาเจ้าทั้งหลาย แต่เจ้ากล่าวว่า `เราทั้งหลายจะกลับมาสถานใด
ฮิบรู13:8 พระเยซูคริสต์ยังทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ และเวลาวันนี้ และต่อ ๆไปเป็นนิจกาล
ถ้าพระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลงตามคำจำกัดความของพระองค์ ต่อบาปก็จะไม่เปลี่ยนแปลงถ้าคำจำกัดของบาปไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือความหมายของบาป ดังนั้นพระบัญญัติของพระองค์ อย่าเปลี่ยน! ซึ่งเราเห็นที่พระเจ้าหมายถึงใน มาลาคีย์ 3: 6-7
เราเชื่อว่าคำสอนของเปาโลถูกนำออกนอกบริบท และเช่นเดียวกับที่เราถูกสอนต่อต้านพระราชบัญญัติในพันธสัญญาเดิม. บางสิ่งที่เปโตรตักเตือนเราเกี่ยวกับคำพูดสุดท้ายของเขากับเราดังนี้:
2 เปโตร 3:14-18 เหตุฉะนั้นพวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายยังคอยสิ่งเหล่านี้อยู่ ท่านก็จงอุตส่าห์ให้พระองค์ทรงพบท่านทั้งหลายอยู่เป็นสุข ปราศจากมลทินและข้อตำหนิ และจงถือว่า การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอดกลั้นพระทัยไว้นานนั้นเป็นการช่วยให้รอด ดังที่เปาโลน้องที่รักของเราได้เขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลายด้วย ตามสติปัญญาซึ่งพระองค์ได้ทรงโปรดประทานแก่ท่านนั้น เหมือนในจดหมายของท่านทุกฉบับ ท่านได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านั้น และในจดหมายนั้นมีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่ไม่ได้เรียนรู้และไม่แน่นอนมั่นคงนั้นได้เปลี่ยนแปลงเสีย เหมือนเขาได้เปลี่ยนแปลงข้ออื่นๆในพระคัมภีร์ จึงเป็นเหตุกระทำให้ตัวพินาศ เพราะเหตุนั้น พวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายรู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว ท่านก็จงระวังให้ดี เกรงว่าท่านอาจจะหลงไปกระทำผิดตามการผิดของคนชั่ว และท่านทั้งหลายจะสูญเสียความหนักแน่นมั่นคงของท่าน แต่ขอท่านทั้งหลายจงเจริญขึ้นในพระคุณ และในความรู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา สง่าราศีจงมีแด่พระองค์ทั้งในปัจจุบันนี้และตลอดไปเป็นนิตย์ เอเมน
สังเกตเห็นคำเตือนที่เปโตรมอบให้เราในคำพูดสุดท้ายของเขา:
เพราะเหตุนั้น พวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายรู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว ท่านก็จงระวังให้ดี เกรงว่าท่านอาจจะหลงไปกระทำผิดตามการผิดของคนชั่ว และท่านทั้งหลายจะสูญเสียความหนักแน่นมั่นคงของท่าน
คนที่ไม่ยึดถือพระบัญญัติ = เป็นคนที่ไม่เชื่อว่าพระบัญญัติจะใช้กับพวกเขา!