Monthly Archives:มีนาคม 2020

เทศกาลในพระคัมภีร์

30 มี.ค. 20
Sunete
No Comments

เทศกาลต่าง ๆ ที่พระเจ้ากำหนดสำหรับมนุษย์

พระคัมภีร์กล่าวว่า ”ต่อไปนี้เป็นเทศกาลเลี้ยงตามกำหนดแด่พระเจ้าเป็นการประชุมบริสุทธิ์ ซึ่งเจ้าจะต้องประกาศตามเวลากำหนดให้เขาทราบ” (เลวีนิติ23:4) 

 เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ (เป็นเดือนปีใหม่ของยิวเดือนนิแสน)

เทศกาลปัสกา Passover

เป็นวันเฉลิมฉลองให้ระลึกถึงเมื่อพระเจ้าทรงใช้โมเสสให้ปลดปล่อยชาวอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ดังที่ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อพยพ12:21-27 และเลวีนิติ 23:4-8 เป็นเทศกาลเลี้ยงตามกำหนดแด่พระเจ้า เป็นการประชุมบริสุทธิ์

เทศกาลปัสกา Passover ขนมปังไร้เชื้อ Unleavened Bread ผลแรก (First Fruits)  ทั้งสามเหตุสำคัญเหล่านี้ อยู่ระหว่างเดือน มีนาคมและเมษายน และยังเป็นวันสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นแกะวันปัสกา และเป็นผลแรก “ (1โครินธ์15:20)

วันปัสกาเริ่มวันที่ 14 นิแสนวันพุธเป็นวันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์และถูกฝังในอุโมงค์ในวันเดียวกัน วันที่15 นิแสนเป็นเริ่มวันขนมปังไร้เชื้อต่อเนื่องไปเจ็ดวัน และจากนั้นเป็นวัน ผลแรกซึ่งเป็นวันที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์หลังจากวันสะบาโตตรงกับตอนเย็นวันเสาร์เริ่มต้นของวัน ผลแรก

 เทศกาลผลแรก The Feast of First fruits  

ที่มา อพยพ23:14-16  จงถือเทศกาลถวายแก่เราปีละสามครั้ง  จงถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อตามเวลาที่กำหนดไว้ (ในเดือนอาบีบ/นิแสน อันเป็นเดือนซึ่งเราบัญชาไว้ เจ้าจงกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันตามที่เราสั่งเจ้าไว้แล้ว เพราะในเดือนนั้นเจ้าออกจากอียิปต์ อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย) จงถือเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บเกี่ยว ถวายพืชผลแรกที่เกิดจากแรงงานของเจ้า ซึ่งเจ้าได้หว่านพืชลงในนา เจ้าจงถือเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บพืชผลปลายปี เมื่อเจ้าเก็บพืชผลจากทุ่งนาอันเป็นผลงานของเจ้า……..

ผู้ยึดถือวันปัสกาทุกวันนี้ จะถือวันปัสกากินขนมปังไร้เชื้อ ไม่มีขนมปังผสมเชื้อยีสต์ในบ้านเลยและจะถวายผลแรกของรายได้ให้กับพระเจ้าในวันนี้ของปี เพื่อพันธกิจของพระองค์หรือให้คนยากจนและเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนควรทำ

เทศกาล วันเพนตาคอสท์ Weeks (Pentecost) หรือฮิบรูเรียก Shavuot

1 เป็นเวลาเจ็ดสัปดาห์หลังจากวันปัสกา เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นงานฉลองสัปดาห์เนื่องจากเกิดขึ้นหลังจากเจ็ดสัปดาห์ หรือหลังจากวันปัสกา 50 วัน (เลวีนิติ 23:15-22)  เพนตาคอสท์ เป็นวันที่ชาวยิวได้รับโทราห์ หรือพระบัญญัติของพระเจ้าจากโมเสสที่ภูเขาซีนายในพันธสัญญาเดิม

2 ในพันธสัญญาใหม่เป็นวันที่ สาวกของพระเยซูได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในวันเพนตาคอสท์ และของประทานต่าง ๆ กิจการ2:1-5 หลายคนที่สามารถพูดภาษาอื่น ๆ เพื่อประกาศพระกิตติ  ที่เรียกว่าภาษาแปลก ๆ ความจริง เปโตรไม่ได้พูดภาษาแปลก ๆ ดูจากที่เขาเป็นผู้อธิบาย ใน กิจการ 2:14-16 เปโตรมีของประทานในการรักษาโรคและประกาศเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้าอย่างกล้าหาญ โดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

3 The Feast of Weeks เทศกาลแห่งสัปดาห์ วันเพนตาคอสท์  เทศกาลเก็บเกี่ยวผลแรก

เลวีนิติ 23:9 -14  พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า  “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้ามาถึงแผ่นดินซึ่งเราให้เจ้า และเกี่ยวพืชผลของ แผ่นดินนั้น เจ้าจงเอาฟ่อนข้าวที่เกี่ยวในรุ่นแรกนำไปให้ปุโรหิต และปุโรหิตจะนำฟ่อนข้าวนั้น แกว่งไปแกว่งมาถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพื่อเจ้าจะเป็นที่โปรดปราน รุ่งขึ้นหลังวันสะบาโตปุโรหิตจะแกว่งถวาย  ในวันที่เจ้าแกว่งถวายฟ่อนข้าว เจ้าจงถวายลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชาถวายแก่พระเจ้า

สำหรับวันเพนตาคอสท์ทุกวันนี้  ผู้เชื่อที่ยึดรักษาวันสะบาโตของพระเจ้า จะยึดถือปฏิบัติ วันเพนตาคอสท์ เป็นงานเลี้ยงฉลองผู้เชื่อมาร่วมสามัคคีธรรมกันและระลึกถึง วันที่พระเจ้าประทานพระบัญญัติและพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จเข้ามาในชีวิตผู้เชื่อ และจะมีการถวายผลรายได้ของตนมอบให้พระเจ้า เพื่อใช้ในงานพระราชกิจของพระองค์หรือเพื่อช่วยเหลือพี่น้องที่ยากจน และสนับสนุนผู้รับใช้อะไรอื่น ๆ

                                                                                                                                                                                                                                                     

              เทศกาลเป่าแตร Trumpets (Rose Hashanah)                                                                                 

ในวันที่หนึ่งเดือนที่เจ็ดเจ้าจงมีการประชุมบริสุทธิ์ เจ้าอย่าทำงานหนัก เป็นวันให้เจ้าทั้งหลายเป่าแตร(กันดารวิถี29:1)

เลวีนิติ23::24  “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ในวันที่หนึ่งของเดือนที่เจ็ด เจ้าทั้งหลายจงถือเป็นวันสะบาโต เป็นวันประชุมบริสุทธิ์ประกาศเป็นที่ระลึกด้วยเสียงแตร

เป่าแตรเกี่ยวข้องในพันธสัญญาใหม่ อย่างไร ดูใน วิวรณ์ 11:15/ 1เธสะโลนิกา4:16-17 / มัทธิว 24:31

ปัจจุบันเป็นวันสะบาโตใหญ่ ไม่ทำงาน ผู้เชื่อจะมาประชุมกันเป็นงานกินเลี้ยงฉลองและสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ  นำอาหารมาร่วมกัน เป็นงานเพื่อระลึกถึงพระเจ้า และฟังคำเทศนาจากผู้รับใช้รวมถึง การถวายเงินให้กับพระเจ้าเพื่อพันธกิจต่าง ๆ  และช่วยเหลือคนยากจน

วันลบมลทิน The Day of Atonement (ยำคิพพัวร์ Yom Kippur)

เลวีนิติ 16: 21- 22 และอาโรนจะเอามือทั้งสองวางบนหัวแพะที่มีชีวิตนั้น และกล่าวคำสารภาพบรรดาความชั่วช้าของคนอิสราเอล และการละเมิดทั้งหมด และบาปทั้งสิ้นให้ตกลงบนหัวแพะนั้น และให้คนที่เตรียมมือไว้พร้อมแล้วมานำแพะไปปล่อยเสียในถิ่นทุรกันดาร  แพะนั้นจะแบกความชั่วช้าทั้งหมดไปยังที่เปลี่ยว แล้วเขาก็ปล่อยให้แพะนั้นเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร และ เลวีนิติ 16:29-31

เลวีนิติ 23:27-32 ในวันเดียวกันนั้นเจ้าอย่าทำงานใด ๆ เพราะเป็นวันทำการลบมลทิน ที่จะทำการลบมลทินของเจ้าต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันเดียวกันนั้น  จะเป็นวันสะบาโตสำหรับหยุดพักสงบแก่เจ้า และเจ้าจงถ่อมใจลง เริ่มแต่เวลาเย็นในวันที่เก้าของเดือน เจ้าต้องรักษาวันสะบาโตจากเวลาเย็นถึงเวลาเย็น”

วันลบมลทิน สำหรับผู้เชื่อในปัจจุบัน  เป็นวันสะบาโตไม่ทำงาน และเป็นวันถือศีลอดอาหาร ไม่กินไม่ดื่มอะไรตั้งแต่วันตกดินถึงวันตกดินวันใหม่ ผู้เชื่อจะมารวมกันสามัคคีธรรมฟังคำเทศนา หรืออยู่บ้านเฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้า

เทศกาลอยู่เพลิง Tabernacles (Sukkot) หรือ The Feast of Booths เต็น

ในวงศ์วานพวกอิสราเอลให้เข้าอยู่ในเพิง  เพื่อตลอดชั่วอายุของเจ้าจะได้ทราบว่า เมื่อเราพาคนอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์นั้นเราได้ให้เขาอยู่ในเพิง เราคือพระเจ้าของเจ้า

เลวีนิติ23:39-44  แล้วในวันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ดเมื่อเจ้าได้เก็บพืชผลที่ได้จากแผ่นดินนั้นเข้ามาแล้ว เจ้าจงมีเทศกาลเลี้ยงแห่งพระเยโฮวาห์เจ็ดวัน ในวันแรกจะเป็นวันสะบาโต และในวันที่แปดจะเป็นวันสะบาโต

ในพันธสัญญาใหม่พูดถึง  พระเยซูในเทศการอยู่เพิง ยอห์น 7:1-14  กิจการ 18:21

เทศกาลอยู่เพลิงหรืออยู่เต็นท์

ทุกวันนี้ผู้เชื่อที่รักษาวันสะบาโตในแต่ละปีจะรอโอกาสเข้าร่วมในเทศกาลนี้ จะมีการรวมกลุ่มใหญ่ต่างคนต่างเก็บเงินเพื่อใช้จ่ายในเทศกาลนี้ จะมีรายการต่าง ๆ ในเต็นท์ใหญ่ ได้สามัคคีธรรมทำความรู้จักกับผู้เชื่อคนอื่น ๆการร้องเพลงพิเศษการแสดงของเด็ก ๆ ทุกอย่างทำเพื่อถวายเกียรติและสรรเสริญพระเจ้าเท่านั้น และฟังคำเทศนา และมีการถวายทรัพย์ สำหรับพันธกิจของพระเจ้า แต่ละคนหรือครอบครัว จะอยู่ในเต้นของตน 7 วันจะใช้เวลาร่วมกัน วันที่ 8 เป็นวันสะบาโต วันตามที่พระเจ้ากำหนด  บางที่ก็ไม่อยู่เต็นท์พวกเขาอาจ เช่ารีสอร์ท หรือโรงแรม

 เทศกาลฮานูกกาห์ Hanukkah ไม่มีในพระราชบัญญัติของพระเจ้าที่ถูกกำหนดให้รักษา

ฮานูกกาห์ Hanukkah ซึ่งหมายถึง “การอุทิศตน” เป็นเทศกาลที่ระลึกถึงการชำระให้บริสุทธิ์และการไถ่คืนพระวิหาร  ฉลองในเดือนธันวาคม เทศกาลนี้ ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในพระบัญญัติของพระเจ้าในพระคัมภีร์  เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ฮานูกกาห์  ถือว่าเป็นเทศกาลชาวยิว“ ที่สำคัญไม่น้อย” ในทุกวันนี้ก็จัดอันดับพร้อมเทศกาลปัสกาและ พูริม Purim เป็นหนึ่งในวันหยุดซึ่งเป็นที่รักของครอบครัวชาวยิวอย่างมาก

จากตำนานเมื่อ มัคคาบีส์ (Maccabees) บุกเข้ามาในพระวิหารเพื่อจะยึดคืนจากชาวกรีกพวกเขาก็จุดตะเกียงทันทีในพระวิหารเขาพบว่ามีน้ำมันแค่ขวดเดียว น้ำมันหนึ่งขวดซึ่งพอแค่วันเดียว แต่น้ำมันที่มีแค่วันเดียวนั้นสามารถจุดตะเกียงอยู่ได้นานถึงแปดวันเป็นการอัศจรรย์ ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นการอวยพรจากพระเจ้าหรือ เรียกอีกอย่างว่าเทศกาล แสงสว่าง ในยอห์น10:22-23 น่าจะเป็นเทศกาลฮานุกคาห์ ที่พระเยซูร่วมด้วย

บางที่ผู้เชื่อที่รักษาวันสะบาโต ไม่ฉลองคริสต์มาสจะฉลองเทศกาลนี้แทนก็ได้ เรียกเทศกาล “แสงสว่าง” 

สรุปตอนท้าย:

เทศกาลตามพระคัมภีร์มีดังนี้

  • วันสะบาโต ประจำสัปดาห์ทุกวันเสาร์ เลวีนิต 23:3

เทศกาลตามพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดพระองค์สั่งให้ทำตามไม่เฉพาะคนอิสราเอลหรือยิวเท่านั้นรวมถึงผู้เชื่อที่ถูกต่อกิ่งเข้ากับอิสราเอลแล้วด้วย ดูใน โรม11:17-18 บอกผู้ไม่ใช่ยิวว่าเป็นผู้ที่ถูกต่อกิ่งและไม่มีรากต้องอาศัยรากจากอิสราเอล ก็สมควรที่จะทำตามชนชาติอิสราเอลชนชาติของพระเจ้าว่าเขาปรนนิบัติพระเจ้าอย่างไร

การกำหนดวันปัสกาจะตรงกับวันอะไรนั้นเราจะถือตามปฏิทินยิวโดยเทียบกับวันเดือนสากล เช่น :

  • วันปัสกาปีนี้ 2020 จะเริ่มเย็นวันพุธที่ 8 เมษายนและสิ้นสุดในวันพฤหัส ที่ 16 เมษายน

ต้องทำอะไรบ้าง:  ที่บ้านกินขนมปังไร้เชื้อ( ทำเองก็ได้ เหมือนโรตี) คือไม่มีขนมปังที่ผสมเชื้อยีสต์เลยในบ้านตลอด 7 วัน และวันขนมปังไร้เชื้อวันแรก ถือเป็นวันสะบาโตใหญ่ ไม่ทำงานแต่มาชุมกันกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ  ทานอาหารร่วมกันต่างคนต่างนำมาเอง และมีรายการระลึกถึงพระเจ้าระลึกถึงพระเยซูผู้เป็นแกะวันปัสกาให้เรา มีการหักขนมปังไร้เชื้อและดื่มไวน์ด้วย ร่วมสามัคคีธรรมฟังคำเทศนาแบ่งปันคำพยาน ขอบคุณพระเจ้า

  • วันเพนตาคอสท์ Weeks (Pentecostกรีก /Shavuot ฮิบรู) เริ่มนับจากวันปัสกาจะเป็น 50 วันเป็นวันวันเพนตาคอสท์ สำหรับในปี 2020 ตรงกับ วันศุกร์ 29 พฤษภาคม ถือ หนึ่งวัน

วันเพนตาคอสท์ เป็นวันสะบาโตพิเศษ ผู้เชื่อสามัคคีธรรมทานอาหารร่วมกันในที่ประชมฟังเทศนา และมีการถวายทรัพย์ สำหรับพระราชกิจของพระเจ้า ถ้าไม่มีใครที่เราจะร่วมด้วยก็ถือคนเดียว ไม่ทำอะไรเป็นวันหยุดพักใช้เวลากับการศึกษาพระคัมภีร์ 5 เล่มแรกและศึกษาในพะรคัมภีร์ใหม่ในหนังสือกิจการ

  • เทศกาลเป่าแตร Trumpets (Rose Hashanah) ปี 2020 ตรงกับวันที่ 19 กันยายน

วันสะบาโตใหญ่ ผู้เชื่อจะมาประชุมกันเป็นงานกินเลี้ยงฉลองและสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ  นำอาหารมาร่วมกัน เป็นงานปาร์ตี้เพื่อระลึกถึงพระเจ้า และฟังคำเทศนาจากผู้รับใช้รวมถึง การกลับมาของพระเยซูคริสต์!การถวายเงินให้กับพระเจ้าเพื่อพันธกิจต่าง ๆ  และถวายเพื่อช่วยเหลือคนยากจน

  • วันลบมลทิน Day of Atonement (Yom Kippur)

สำหรับปีนี้ 2020 เป็น วันจันทร์ที่ 28  กันยายน เป็นวันสาระภาพบาปของเรากับพระเจ้า

ไม่ทำงานวันถือศีลอดอาหารประจำปีไม่กินไม่ดื่ม เริ่มเย็นวันที่ 27 สิ้นสุด เย็นวันที่ 28 กันยายน ร่วมประชุมและฟังคำเทศนา ถ้าไม่มีใครร่วมด้วยถือเองที่บ้าน ใช้เวลากับพระเจ้าลำพัง

เทศกาลอยู่เพลิง Tabernacles (Sukkot)

เทศกาลอยู่เพลิงหรืออยู่เต็นท์ ปีนี้ 2020  วันที่ 3 -9 ตุลาคม วันที่ 10 เป็นวันสะบาโต                                                                  

โดยจะเริ่มจากเย็นวันที่ 2 ตุลาและสิ้นสุดเย็นวันที่ 9 ตุลาคม สถานที่แล้วแต่โบสถ์เลือกว่าจะเอาที่ไหนอย่างไร บางครอบครัวที่อยู่ห่างไกลกลุ่มใหญ่ ก็จะถือเทศกาลนี้โดยการกางเต็นท์หลังบ้านจัดงานกินเลี้ยงช่วยกันทำอาหารในครอบครัวหรืออาจเชิญเพื่อน ๆ อ่านพระคัมภีร์ด้วยกัน มีการเล่นเกมส์เรื่องในพระคัมภีร์หรือทำงานศิลปะร่วมกันเพื่อระลึกถึงพระเจ้า และอื่น ๆ ทำทุกอย่างที่เราทำได้เพื่อแสดงความจริงใจยึดถือตามคำสั่งของพระเจ้า เพื่อเราเราจะรับการอวยพรหากเชื่อฟังและทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า เลวีนิติ 26:2-13 และเราจะรับโทษหากไม่เชื่อฟังและไม่ทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า เลวีนิติ 26:14-33 เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตาม ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเราด้วย เพราะบางที่เราอาจไม่สะดวกแต่เราก็ยังสามารถระลึกถึงเทศกาลนี้ได้ เพราะเป็นเทศกาลที่พระเจ้ากำหนด

“ และเพราะนี่แหละเป็นความรักต่อพระเจ้า คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นที่หนักใจ” (1ยอห์น 5:3)

 

การอ่านพระคัมภีร์ในบริบทให้เหมาะสม

30 มี.ค. 20
Sunete
No Comments

ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทนำของเว็บไซต์เมื่อเรานำข้อความออกจากบริบทเราจะเหลือแค่กลลวง ( context-text = con) การอ่านพระคัมภีร์ในบริบทให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้เราสามารถเข้าใจสิ่งที่พระคัมภีร์พยายามสอนเรา

สิ่งสำคัญประการแรกเพื่อทำความเข้าใจให้ถูกต้องโดยการอ่านทุกข้อโดยรอบ นั่นคือการอ่านข้อก่อนหน้านั้นและอ่านข้อหลังจากนั้นพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนพยายามสื่อสาร จำเป็นก็ต้องอ่านทั้งหมดเป็นตอนๆ ในเนื้อหานั้น ๆ เพื่อได้ความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ดีสำหรับเรื่องนี้คือฮิบรูบทที่ 4 เพื่อให้เข้าใจฮีบรู 4 คุณต้องอ่านฮีบรูบทที่ 3 ก่อน

เมื่อคุณอ่านจดหมาย เช่น จดหมายถึง โรม หรือ กาลาเทีย ไม่เพียงแค่เข้าใจ วรรค ตอน ที่คุณอ่านเท่านั้น คุณต้องอ่านข้อความทั้งหมดเพื่อเข้าใจในเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของจดหมายนั้นคืออะไร และโดยการวิจัยก็สามารถเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจเหตุผลและกลุ่มเป้าหมายของจดหมาย สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจบริบทได้ถูกต้อง

ตัวอย่าง:

โคลิสี 2:16  เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกินการดื่ม ในเรื่องการถือเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโต

พระคัมภีร์ข้อนี้บ่อยมากที่ถูกตีความว่า เราไม่จำเป็นต้องรักษาเทศกาลงานเลี้ยง หรือวันสะบาโตอีกต่อไป แต่เมื่อคุณดูบริบททั้งหมดคุณจะเห็นว่ามันไม่ใช่กรณีนั้น

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าทำไมเปาโลถึงเขียนถึงชาวโคโลสี เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ในระหว่างที่เขาถูกจำคุกครั้งแรกในกรุงโรม ส่งจดหมายไปยังโบสถ์โคโลสีหลังจากที่เขาได้รับรายงานว่าโบสถ์ที่โคโลสี กำลังถูกบรรดาครูสอนเท็จเข้า แซก แซง เพื่อสร้างความแน่ใจว่าพวกเขาเข้าใจในพระกิตติคุณอย่างแท้จริง ดีกว่าที่จะเข้าใจผิดโดยครูหรืออาจารย์ผู้สอนที่เท็จ (โคโลสี 1:25; 2: 1–2)

ดังนั้นประเด็นสำคัญที่นี่คือการแนะนำคำสอนผิด เมื่อเราอ่านข้อก่อน โคโลสี 2:16 และหลังจากนั้นเราจะได้ภาพรวมที่ดีขึ้นของบริบทของข้อนั้น โดยการอ่านโดยรอบ

โคโลสี 2:8 จงระวังให้ดี เกรงว่าจะมีผู้ใดทำให้ท่านตกเป็นเหยื่อด้วยหลักปรัชญาและด้วยคำล่อลวงอันไม่มีสาระ ตามธรรมเนียมของมนุษย์ ตามหลักการต่างๆที่เป็นของโลก ไม่ใช่ตามพระคริสต์

โคลิสี 2:16  เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกินการดื่ม ในเรื่องการถือเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโต

โคโลสี 2:20-23 ถ้าท่านตายกับพระคริสต์พ้นจากหลักการต่าง ๆ ที่เป็นของโลกแล้ว เหตุไฉนท่านจึงมีชีวิตอยู่เหมือนกับว่าท่านยังอยู่ฝ่ายโลก ยอมอยู่ใต้กฎต่าง ๆ (เช่น “อย่าแตะต้อง” “อย่าชิม” “อย่าเอามือหยิบ” ซึ่งทั้งหมดจะพินาศเมื่อทำดังนั้น) อันเป็นหลักธรรมและคำสอนของมนุษย์ จริงอยู่สิ่งเหล่านี้ดูท่าทีมีปัญญา คือการเต็มใจนมัสการ การถ่อมตัวลง และการทรมานกาย แต่ไม่มีประโยชน์อะไรในการต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง

ข้อความพาดหัวข้อใน NIVให้คำสรุปที่ดีในหัวข้อนี้:

เป็นอิสรภาพจากกฎเกณฑ์ของมนุษย์ตลอดชีวิตกับพระคริสต์

หัวข้อทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับบัญญัติของมนุษย์และข้อบังคับที่ไม่เกี่ยวกับบัญญัติของพระเจ้า! ดังนั้นจึงไม่ได้พูดถึงว่า:  อย่าให้ใครตัดสินคุณเมื่อคุณ ไม่รักษา”งานเลี้ยงฉลองหรือวันสะบาโตซึ่งจะขัดต่อพระบัญญัติของพระเจ้า โดยแทนการพูดถึงวิธีทำหรือไม่ทำเช่น อย่าแตะต้อง” “อย่าชิม” “อย่าเอามือหยิบ” กฎที่ครูเท็จแนะนำให้รู้จัก นี่เป็นตัวอย่างที่ดีในการนำข้อความออกไปจากบริบททำให้คุณเหลือ แค่กลลวง

สิ่งนี้ให้ประเด็นสำคัญอันดับแรก:

ประเด็นที่ 1: อย่าอ่านข้อเดียวตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจหัวข้อทั้งหมดที่ผู้เขียนเขียนเกี่ยวกับเรื่องอะไร การอ่านข้อก่อนและหลังและในบางกรณี อ่านส่วนสุดท้ายของบทก่อนหน้านี้หรือเริ่มต้นของบทถัดไป เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับเนื้อหาที่ถูกต้อง

และเมื่อคุณอ่านข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ต้องตรวจสอบคำแปลอื่น ๆ ด้วยโดยทั่วไปผมใช้ เอ็นไอวี NIV เพราะง่ายต่อการอ่าน แต่เมื่อศึกษาหัวข้อผมจะอ่านฉบับคิงเจมส์ (KJV) และการแปลของ ยัง ลิเทอเรล (YLT)

เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีเผื่อคุณอาจพลาด:

กิจการ 18: 20-21 (NIV) เมื่อคนเหล่านั้นขอให้ท่านอยู่กับเขาต่อไป ท่านก็ไม่ยอม แต่ได้ลาเขาไปกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะกลับมาอีกถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า”แล้วเปาโลได้ลงเรือแล่นออกจากเมืองเอเฟซัส

กิจการ 18:20-21 (KJV) เมื่อคนเหล่านั้นขอให้ท่านอยู่กับเขาต่อไป ท่านก็ไม่ยอม แต่ได้ลาเขาไปกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะพยายามรักษาเทศกาลเลี้ยงที่จะถึงในกรุงเยรูซาเล็มโดยทุกวิถีทาง แต่ถ้าเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ข้าพเจ้าจะกลับมาหาท่านทั้งหลายอีก” แล้วเปาโลได้ลงเรือแล่นออกจากเมืองเอเฟซัส

เหตุผลในการปฏิเสธของเขาคือให้ไว้ในฉบับ KJV และใน YLT แต่ไม่มีในฉบับ NIV และ ESV ในการแปล

นอกจากการใช้การแปลมากกว่าหนึ่ง คุณอาจต้องการค้นหาความหมายของต้นตอของคำสำคัญเฉพาะในข้อ ในกรณีของพันธสัญญาใหม่จะดีที่จะเข้าใจคำภาษากรีกที่ใช้และสำหรับพันธสัญญาเดิมจะเป็นการดีที่จะตรวจสอบภาษาฮิบรู

ตัวอย่างที่ดีน่าจะเป็น โรม10:4

โรม10:4  เพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของพระราชบัญญัติ เพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อได้รับความชอบธรรม

คุณคงไม่เข้าใจชัดเจนไปกว่านี้ที่ว่า  ‘พระคริสต์คือจุดจบของพระราชบัญญัติ’ ก็จบคดีเลย! หรือมันคืออะไร? ให้ดูที่ความหมายรากของคำว่า ‘สิ้นสุด’ คำในภาษากรีกที่ใช้สำหรับการสิ้นสุดคือ telos (τέλος):

telos (จากกรีก ςος สำหรับ “สิ้นสุด”, “จุดประสงค์” หรือ “เป้าหมาย”) คือจุดสิ้นสุดหรือจุดประสงค์ในความหมายที่ค่อนข้าง จำกัด ที่ใช้โดยนักปรัชญาเช่นอริสโตเติล มันเป็นรากเหง้าของคำว่า “teleology” การศึกษาเกี่ยวกับจุดประสงค์อย่างคร่าว ๆ หรือการศึกษาวัตถุที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป้าหมายหรือความตั้งใจ
สิ่งนี้แสดงให้เห็นในวิธีที่เราสามารถพูดได้ว่า เป้าหมาย(telos) ของสงครามคือเพื่อชัยชนะหรือเป้าหมาย(telos)ของ ธุรกิจคือสร้างความมั่งคั่งร่ำรวย

ดังนั้นพระคริสต์จึงเป็นเป้าหมาย (วัตถุประสงค์ความตั้งใจหรือเป้าหมายสุดท้าย) ของพระบัญญัติ ที่วาดภาพข้อในมุมมองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เป้าหมาย(telos)ของพระบัญญัติคือพระคริสต์!

อีกตัวอย่างที่ดีใน ฮิบรู 7:12

ฮิบรู 7:12  เพราะเมื่อตำแหน่งปุโรหิตเปลี่ยนแปลงไปแล้ว พระราชบัญญัติก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย

เมื่อเราอ่านข้อนี้ด้วยตัวของมันเองมันดูชัดเจนมากพระบัญญัติเปลี่ยนแปลงและสามารถนำมาใช้เป็นข้อโต้แย้งได้อย่างง่ายดาย เมื่อผมอ่านครั้งแรกการตอบสนองของผมคือมัน เปลี่ยนแปลงจริง นอกจากนั้นผมยังสนใจที่จะค้นหาคำภาษากรีกดั้งเดิมที่ใช้ในข้อนี้เพราะคำว่า ‘เปลี่ยนแปลง’ สามารถมีความหมายต่างกัน 2 แบบและสามารถอธิบายได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้เรื่องของเงินเป็นตัวอย่าง:

  1. เมื่อผมมี 1,000 ดอลลาร์สหรัฐและเดินทางไปยุโรปผมต้องเปลี่ยนเป็นเงินยูโรเพื่อให้สามารถซื้อของได้ นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงของเงินเองจากประเภทหนึ่งไปอีกประเภทหนึ่ง
  2. เมื่อผมมี 1,000 ดอลลาร์สหรัฐและผมให้เงินนี้กับเพื่อนดังนั้นเงินในตัวเองจะไม่เปลี่ยนแปลงมันแค่เปลี่ยนมือหรือเปลี่ยนเจ้าของผู้ถือเงิน

แล้วอันไหนที่ใช้ใน ฮิบรู 7:12 เมื่อเราตรวจสอบคำภาษากรีกดั้งเดิมที่ใช้เราจะได้รับ:

μετατίθημι | metatithēmi | เมท-ทา–ทิธ-เอย์-มี
จาก G3326 และ G5087 ในการถ่ายโอนนั่นคือ (อย่างแท้จริง) การเคลื่อนย้าย   (โดยปริยาย) การแลกเปลี่ยน  (สะท้อน) การเปลี่ยนด้าน หรือ (เปรียบเปรย) บิดเบือน: – พกพา เปลี่ยน เอาออก แปล หมุน

ดังนั้นในกรณีนี้หมายถึงการถ่ายโอนเปลี่ยนด้านหรือดำเนินการมากกว่า สิ่งที่ข้อพระคัมภีร์นี้พูดถึง คือเมื่อเราเปลี่ยนจากฐานะปุโรหิตทางโลก (คำสั่งของอาโรน) ไปสู่ฐานะปุโรหิตแห่งสวรรค์ (คำสั่งของเมลคีเซเดค) ข้อกำหนดของพระบัญญัติก็ถูกโอนเช่นกัน ดังนั้นพระเยซูไม่ได้เป็นฐานะปุโรหิตตามกฏของโลกซึ่งต้องเป็นปุโรหิตเป็นผู้ถือครองต่อจากอาโรน (เลวี) แต่พระองค์เป็นฐานะปุโรหิตตามกฎแห่งสวรรค์ซึ่งขึ้นอยู่กับคำสั่งของเมลคีเซเดค

สิ่งนี้นำเราไปสู่ประเด็นที่ 2

ประเด็นที่ 2: ใช้การแปลที่ต่างกัน ต้องไม่อ่านแค่แปลครั้งเดียวพอ ต้องตรวจสอบคำสำคัญสำหรับความหมายของรากศัพท์ในภาษาเดิมเหล่านั้นด้วย หรือพยายามที่จะหาวิธีที่จะรู้บางที่อาจเป็นช่วงที่ใช้ในคริสตจักรศตวรรษที่แรก

เป็นเรื่องง่ายมากที่จะเลือกตัวเลขในข้อพระคัมภีร์ เป็นพื้นฐานในคำเทศนาหรือแม้กระทั่งหลักคำสอนในข้อเหล่านั้น แต่สิ่งที่เราเชื่อ การพูดนั้นต้องสอดคล้องกับข้อพระคัมภีร์ข้ออื่น ๆ ด้วย รวมถึงพันธสัญญาเดิมดังที่เปาโลกล่าวกับทิโมธีใน 2 ทิโมธี 3; 16-17 :

2 Ti 3:16-17 All Scripture is breathed out by God and profitable for teaching, for reproof, for correction, and for training in righteousness, that the man of God may be competent, equipped for every good work.

2 ทิโมธี 3; 16-17  พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในเรื่องความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะดีรอบคอบ พรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง

โปรดจำไว้ว่าเมื่อสาวกเขียนอะไรบางอย่างคนอื่น ๆ จะทดสอบสิ่งที่พวกเขาเขียน ถึงในพระคัมภีร์ที่พวกเขาสามารถเข้าถึงได้ในเวลานั้น พระคัมภีร์เป็นสิ่งที่เรารู้ว่าเป็นพันธสัญญาเดิมหรือรู้ว่าในเวลานั้นเป็น ทานัคห์ TaNaKh ซึ่งมี 3 ส่วน:

  1. ทราห์ (‘การสอน’ หรือที่รู้จักในชื่อหนังสือห้าเล่มของโมเสส)
  2. Nevi’im (ศาสดาพยากรณ์  โยชูวา ซามูเอล อิสยาห์ … )
  3. และ Ketuvim ( การเขียน / พระคัมภีร์’ สดุดี โยบ  พงศาวดาร … )

ตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้พบได้ในกิจการ 17:11 เราพบว่าลูกา ยกย่องชมเชย ชาวซีเรียที่ทดสอบทุกสิ่งที่เปาโลกล่าวถึงในพระคัมภีร์โดย ตรวจดู ข้อความเหล่านั้นเป็นจริงตามที่พระคัมภีร์เขียนหรือไม่ :

กิจการ 17:10-12 พอค่ำลงพวกพี่น้องจึงส่งเปาโลกับสิลาสไปยังเมืองเบโรอา ครั้นถึงแล้วท่านจึงเข้าไปในธรรมศาลาของพวกยิว
ชาวเมืองนั้นสุภาพกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกา ด้วยเขาได้รับพระวจนะด้วยความเต็มใจ และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่า ข้อความเหล่านั้นจะจริงดังกล่าวหรือไม่ เหตุฉะนั้น มีหลายคน(ชาวยิว)ในพวกเขาได้เชื่อถือ กับสตรีผู้มีศักดิ์ชาติกรีก ทั้งผู้ชายไม่น้อย

มันสำคัญมากที่จะหยุดตรวจสอบและทำความเข้าใจในความสำคัญของสิ่งนี้! พวกเขาทดสอบทุกสิ่งที่เปาโลกล่าวถึงในพันธสัญญาเดิม ( ทานัคห์ TaNaKh) เพื่อดูว่าสิ่งที่เปาโลกล่าวนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่พระคัมภีร์เดิมกล่าวไว้หรือไม่ เราพบด้วยว่ามีชาวยิวหลายคนเชื่อ ซึ่งเราสามารถสรุปได้ว่าสิ่งที่กล่าวถึงนั้นสอดคล้องกับข้อพระคัมภีร์!

เปาโลเป็นพยานถึงสิ่งนี้ในการทดลองของเขาเมื่อเราอ่านในกิจการ 26:

กิจการ 26:22 เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้และเป็นพยานได้ต่อหน้าผู้น้อยผู้ใหญ่ ข้าพระองค์ไม่พูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องซึ่งบรรดาศาสดาพยากรณ์กับโมเสสได้กล่าวไว้ว่าจะมีขึ้น…. ว่าพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมานและในฐานะที่เป็นคนแรกที่จะฟื้นขึ้นมาจากความตายจะประกาศความสว่างให้กับคนของพระองค์และคนต่างชาติ

ดังนั้นสิ่งนี้ให้เรามี 3 ประเด็นสำคัญสำหรับการอ่านพระคัมภีร์ในบริบทที่เหมาะสม:

ประเด็นที่ 3: การทดสอบของชาวเบโรอา สิ่งที่เราเชื่อคือว่าข้อความบางตอนที่ถูกกล่าวถึง ต้องตรงกับในพระคัมภีร์จริง (รวมถึงพันธสัญญาเดิม)! ถ้ามันไม่ตรงกับส่วนอื่นในพระคัมภีร์แล้วความเข้าใจของเราในสิ่งที่เราอ่านก็ไม่ถูกต้องและเราต้องศึกษาพระคัมภีร์ในลักษณะเดียวกับที่ชาว เบโรอาทำเพื่อให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง

ประเด็นที่ 4: มีการเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับประเด็นที่ 3 พระเจ้าให้เราในพระคัมภีร์เพื่อทดสอบ กับผู้เผยพระวจนะหรืออาจารย์แม้ว่าบุคคลนั้นจะทำการอัศจรรย์ หรือทำงานรับใช้เกิดผลมากมายก็ตาม เราต้องทดสอบในพระคัมภร์ เพื่อดูว่าบุคคลนั้นมาจากพระเจ้าหรือ เป็นผู้พยากรณ์เท็จทั้ง ครู อาจารย์ นอกจากการทดสอบบุคคลเหล่านั้นว่า เขา หรือเธอ มาจากพระเจ้าเราสามารถใช้แบบทดสอบนี้เพื่อตรวจสอบว่าความเข้าใจของเราเกี่ยวกับสิ่งที่เราอ่านนั้นถูกต้องหรือไม่ เราสามารถค้นหาการทดสอบนี้ได้ในเฉลยธรรมบัญญัติ 13 ผมใช้ ประเด็นที่ 1 ที่นี่โดยการรวมข้อสุดท้ายของบทก่อนหน้าเพื่อให้ได้บริบทที่เหมาะสมสำหรับบทนี้:

ฉธบ 12:32ุ “ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านไว้นั้น จงระวังที่จะกระทำตาม ท่านอย่าเพิ่มอะไรเข้าหรือตัดอะไรออกไปจากสิ่งเหล่านั้น”

ฉธบ 13:1-5″ถ้าในหมู่พวกท่านเกิดมีผู้พยากรณ์หรือผู้ฝันเห็นเหตุการณ์ขึ้น และสำแดงหมายสำคัญหรือการมหัศจรรย์แก่ท่าน
Deu 13:2 และหมายสำคัญหรือการมหัศจรรย์ซึ่งเขาบอกท่านนั้นสำเร็จจริง ถ้าเขากล่าวว่า `ให้เราติดตามพระอื่นกันเถิด’ ซึ่งเป็นพระที่ท่านไม่รู้จัก`และให้เรามาปรนนิบัติพระนั้น’ ท่านอย่าเชื่อฟังคำของผู้พยากรณ์หรือผู้ฝันเห็นเหตุการณ์คนนั้น เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านลองใจท่านดู เพื่อให้ทรงทราบว่า ท่านทั้งหลายรักพระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่านหรือไม่ ท่านทั้งหลายจงดำเนินตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และยำเกรงพระองค์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และท่านจงปรนนิบัติพระองค์ และติดสนิทอยู่กับพระองค์ แต่ผู้พยากรณ์หรือผู้ฝันเห็นเหตุการณ์คนนั้นต้องมีโทษถึงตาย เพราะว่าเขาได้สั่งสอนให้กบฏต่อพระเจ้าของท่าน ผู้ทรงนำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ และทรงไถ่ท่านออกจากเรือนทาส เขากระทำให้ท่านทิ้งหนทางซึ่งพระเจ้าของท่านบัญชาให้ท่านดำเนินตามเสีย ดังนั้นแหละท่านจะต้องล้างความชั่วเช่นนี้จากท่ามกลางท่าน

ดังนั้นการทดสอบคือการดูว่าบุคคลนั้นกำลังนำคุณออกจากบัญญัติของพระเจ้าและต่อต้านการเชื่อฟังเสียงของพระองค์และทำตามศาสนาอื่น! ข้อสุดท้ายในบทก่อนนี้ได้บอกทั้งหมด:

ฉธบ12:32  “ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านไว้นั้น จงระวังที่จะกระทำตาม ท่านอย่าเพิ่มอะไรเข้าหรือตัดอะไรออกไปจากสิ่งเหล่านั้น”

เราพบอีกที่คล้ายกันใน ฉธบ 4:2 :

ฉธบ 4:2 ท่านทั้งหลายอย่าเสริมเติมคำที่ข้าพเจ้าได้บัญชาท่านไว้และอย่าตัดออก เพื่อท่านทั้งหลายจะรักษาพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่าน

นี้ให้เราประเด็นที่ 4:

ประเด็นที่ 4 – เฉลยธรรมบัญญัติ 13 ทดสอบ : ทดสอบสิ่งที่คุณอ่านกับเฉลยธรรมบัญญัติ 13 หากคุณเชื่อว่าเป็นการสอนต่อต้านการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าหรือเพิ่มเข้ามาความเข้าใจในสิ่งที่คุณอ่านนั้นไม่ถูกต้อง เราได้รับคำสั่งอย่างชัดเจนว่าไม่ให้เพิ่มหรือลบออกจากพระบัญญัติ (ฉธบ 12:32 และ ฉธบ 4: 2)

อีกข้อสำคัญในพระคัมภีร์ที่ให้ทดสอบทุกอย่างคือ อาโมส 3.7:

แท้จริงองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจะมิได้ทรงกระทำอะไรเลย โดยมิได้เปิดเผยความลึกลับให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ คือผู้พยากรณ์  (อาโมส 3: 7)

เราเห็นตัวอย่างที่ดีมากในกิจการ 15: 13-18

ครั้นจบแล้วและนิ่งอยู่ ยากอบจึงกล่าวว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้า
ซีโมนได้บอกแล้วว่า พระเจ้าได้ทรงเยี่ยมเยียนคนต่างชาติครั้งแรก เพื่อจะทรงเลือกชนกลุ่มหนึ่งออกจากเขาทั้งหลายเพื่อพระนามของพระองค์  คำของศาสดาพยากรณ์ก็สอดคล้องกับเรื่องนี้ ดังที่ได้เขียนไว้แล้วว่า ภายหลังเราจะกลับมา และจะสร้างพลับพลาของดาวิดซึ่งพังลงแล้วขึ้นใหม่ ที่ร้างหักพังนั้นเราจะก่อขึ้นอีก และจะตั้งขึ้นใหม่ เพื่อคนอื่นๆจะได้แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า คือบรรดาคนต่างชาติซึ่งเขาเรียกด้วยนามของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกระทำสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ได้ตรัสไว้ พระเจ้าทรงทราบถึงกิจการทั้งปวงของพระองค์ตั้งแต่แรกสร้างโลกมาแล้ว’ (กิจการ 15: 13-18)

เราเห็นว่ายากอบที่บอกว่าคำของศาสดาพยากรณ์ก็ตรงกับสิ่งที่เปโตรพูดดังนั้นจึงเชื่อว่าสิ่งนี้สอดคล้องกับพระคัมภีร์

เมื่อคุณเชื่อว่าพระเจ้าเปิดเผยสิ่งใหม่สำหรับคุณและมันขัดแย้งกับข้อพระคัมภีร์อื่น ๆ (ประเด็น 3) หรือไม่ใช่คำของศาสดาพยากรณ์ที่พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าสิ่งที่คุณเชื่อว่าพระเจ้าเปิดเผยกับคุณไม่ได้มาจากพระเจ้า! ลัทธิใหม่จำนวนมากถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของการเปิดเผยเหล่านี้เรียก การเปิดเผยไม่มีรากฐานในพระวจนะของพระเจ้า

ทดสอบทุกอย่างกับพระวจนะของพระเจ้า (ประเด็นที่ 3):

อย่าดับพระวิญญาณ  อย่าประมาทคำพยากรณ์  จงพิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น (1 เธสะโลนิกา 5:19-21)

นี้นำเราถึงประเด็นสุดท้าย:

ประเด็นที่ 5 – อาโมส 3:7 ทดสอบ: อะไรก็ตามที่ได้รับกระตุ้นเพื่อเปิดเผยใหม่จากพระเจ้า จะต้องสอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าได้เปิดเผยผ่านศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ในพระคัมภีร์

บทสรุปประเด็นสำคัญ

  • ประเด็นที่ 1: อย่าอ่านข้อเดียวตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจหัวข้อทั้งหมดที่ผู้เขียนเขียนเกี่ยวกับอะไร การอ่านข้อก่อนและหลังและในบางกรณีอ่านส่วนสุดท้ายของบทก่อนหน้านั้นหรือจุดเริ่มต้นของบทถัดไป เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับบริบทที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการอ่านจดหมาย ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจวัตถุประสงค์ของจดหมายและกลุ่มเป้าหมายคือใคร
  • ประเด็นที่ 2: ใช้การแปลที่ต่างกัน ต้องไม่อ่านแค่แปลครั้งเดียวพอ ต้องตรวจสอบคำสำคัญสำหรับความหมายของรากศัพท์ในภาษาเดิมเหล่านั้นด้วย หรือพยายามที่จะหาวิธีที่จะรู้บางที่อาจเป็นช่วงที่ใช้ในคริสตจักรศตวรรษที่แรก
  • ประเด็นที่ 3 – ชาวเมืองเบโรอา ทดสอบ: สิ่งที่เราเชื่อคือว่าข้อความบางตอนที่ถูกกล่าวถึง ต้องตรงกับในพระคัมภีร์จริง  ถ้ามันไม่ตรงกับส่วนอื่นในพระคัมภีร์แล้วความเข้าใจของเราในสิ่งที่เราอ่านก็ไม่ถูกต้องและเราต้องศึกษาพระคัมภีร์ในลักษณะเดียวกับที่ชาว เบโรอาทำเพื่อให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง
  • ประเด็นที่ 4 – เฉลยธรรมบัญญัติ 13 ทดสอบ: ตรวจสอบสิ่งที่คุณอ่านใน เฉลยธรรมบัญญัติ 13 หากคุณเชื่อว่าเป็นการสอนต่อต้านการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าความเข้าใจของคุณเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอ่านนั้นไม่ถูกต้อง เราได้รับคำสั่งอย่างชัดเจนว่าไม่ให้เพิ่มหรือลบออกจากพระบัญญัติ (ฉธบ 12:32 และ ฉธํบ 4: 2)
  • ประเด็นที่ 5 – อาโมส 3 ทดสอบ: อะไรก็ตามที่ได้รับกระตุ้นเพื่อเปิดเผยใหม่จากพระเจ้า จะต้องสอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าได้เปิดเผยผ่านศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ในพระคัมภีร์

ผลสรุป:

การพยายามทำความเข้าใจในบริบทที่ถูกต้องนั้นเหมือนกับการวาดเส้นในทิศทางที่ถูกต้อง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะลากเส้นได้ถูกทิศทางโดยเริ่มจากเพียงจุดเดียว เช่นเดียวกับการพยายามเข้าใจหัวข้อในพระคัมภีร์เพียงข้อเดียวหรือหลักคำสอนพระคัมภีร์ที่ใช้ข้อพระคัมภีร์เพียงข้อเดียว ดังนั้นเพื่อให้สามารถวาดเส้นในทิศทางที่ถูกต้องเราต้องมีจุดตรวจสอบอย่างน้อยสองจุดขึ้นไป ยิ่งผ่านการตรวจสอบมาก เราก็ยิ่งได้ความแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ยังจะช่วยให้เราสามารถระบุสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้  เพราะจะไม่ได้ใกล้เคียงกับเส้นที่กำหนดไว้โดยจุดอื่น ๆ ที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว เพราะมันคล้ายกันมากเมื่อเราอ่านข้อในพระคัมภีร์

ตรวจสอบว่าสิ่งที่คุณเชื่อนั้นสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า (ทั้งภาคพันธสัญญาเก่าและพันธสัญญาใหม่) โดยใช้หัวข้อสำคัญง่าย ๆ 5 นี้

ขอพระเจ้าอวยพรคุณและอย่าลืมทดสอบทุกสิ่ง!