Monthly Archives:เมษายน 2020

อะไรคือพระราชบัญญัติและอะไรที่ไม่ใช่!

25 เม.ย. 20
Sunete
No Comments

โอ ข้าพระองค์รักพระราชบัญญัติของพระองค์จริงๆ เป็นคำรำพึงของข้าพระองค์วันยังค่ำ(สดุดี 119:97)

เมื่อคุณถามคนอื่นว่าพวกเขาเป็นพลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่ส่วนใหญ่จะได้คำตอบ พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาปฏิบัติตาม โดยทั่วไปแล้วประเทศที่มีระบบกฎหมายประชากรปฏิบัติตามได้ดีและจะมีการคอร์รัปชั่นน้อยก็ย่อมดีกว่าประเทศที่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ประเทศตะวันตกทำได้ดีมากก็เพราะพวกเขามีระบบกฎหมายที่มีพื้นฐานบนคุณค่าของยูเดีย – คริสเตียน (ซึ่งพื้นฐานพระราชบัญญัติจากพระคัมภีร์)

โดยที่เราไม่รู้ตัว ความจริงเราในฐานะพลเมืองเราปฏิบัติตามกฎหมาย ถ้าไม่พันๆ ข้อ อย่างน้อยก็ต้องเป็นร้อยๆ ข้อที่เราปฏิบัติตาม (การจราจร สภารัฐและรัฐบาลกลาง) กฎหมายส่วนใหญ่นั้นไม่ยากที่จะรักษาเพราะมันอยู่ในสามัญสำนึกของคนเราอยู่แล้วในกฎพื้นฐานบางอย่างเช่นอย่าทำกับคนอื่นในสิ่งที่คุณไม่อยากให้พวกเขาทำกับคุณ

มัทธิว 7:12 เหตุฉะนั้น สิ่งสารพัดซึ่งท่านปรารถนาให้มนุษย์ทำแก่ท่าน จงกระทำอย่างนั้นแก่เขาเหมือนกัน เพราะว่านี่คือพระราชบัญญัติและคำของศาสดาพยากรณ์

เมื่อถามคนเกี่ยวกับพระราชบัญญัติของพระเจ้า เราจะสังเกตได้ว่าจะเกิดความรู้สึกทางอารมณ์ด้านลบมากกว่าด้านบวก อารมณ์ที่แสดงออกคือ; มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาพระราชบัญญัติของพระเจ้า ทำให้เราเป็นทาสหรือถูกกักขัง ซึ่งคุณแทบจะไม่เคยได้ยินเลยที่มีใครบางคนบอกว่าพวกเขารักพระราชบัญญัติของพระเจ้ามากแค่ไหนหรือว่าพวกเขาพอใจในพระราชบัญญัติของพระเจ้าเพียงใด เหมือนกับกับดาวิดและเปาโล! อ่านสดุดี 119 บทที่ยาวที่สุดในพระคัมภีร์และทั้งหมดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติของพระเจ้าที่ยอดเยี่ยม!

พระเยซูให้บทสรุปที่ดีมากเกี่ยวกับพระราชบัญญัติของพระเจ้าเมื่อถูกถามว่าอะไรคือพระบัญญัติข้อใหญ่ที่สุด:

มัทธิว 22: 36-40 “อาจารย์เจ้าข้า ในพระราชบัญญัตินั้น พระบัญญัติข้อใดสำคัญที่สุด” พระเยซูทรงตอบเขาว่า “`จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า’ นี่แหละเป็นพระบัญญัติข้อต้นและข้อใหญ่  ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ `จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ พระราชบัญญัติและคำพยากรณ์ทั้งสิ้นก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้”

หัวใจของพระบัญญัติคือ ‘ความรัก’ รักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้านของคุณ ดังนั้นทำไมคนจำนวนมากถึงมีมุมมองที่ไม่ดีเมื่อกล่าวถึงพระราชบัญญัติของพระเจ้า?

ส่วนใหญ่เกิดจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความจริงในพระราชบัญญัติ ในบทความนี้เราจะพยายามสร้างภาพรวมสิ่งที่เป็นพระราชบัญญัติของพระเจ้าและเน้นสิ่งที่มันไม่ใช่พระราชบัญญัติ  เมื่อคุณเข้าใจอย่างแท้จริงว่าพระบัญญัติของพระเจ้าคืออะไรคุณจะเข้าใจว่าทำไมดาวิดบอกว่าเขารักพระราชบัญญัติของพระเจ้าหรือทำไมเปาโลเรียกพระบัญญัติของพระเจ้าว่าเป็นความปีติยินดี ความบริสุทธิ์ ความชอบธรรมและความดี

อะไรที่ไม่ได้เป็นพระราชบัญญัติของพระเจ้า

ผมคิดว่ามันเป็นการดีที่สุดที่จะแก้ไขปัญหานี้ก่อนเพราะความเข้าใจผิดของเราเกี่ยวกับพระบัญญัติของพระเจ้า มันเกี่ยวกับการอ่านพระคัมภีร์และโดยการสันนิษฐานเอาว่านั่นกำลังพูดถึงพระราชบัญญัติของพระเจ้า ในขณะที่กำลังพูดถึงบัญญัติอื่น

เราพบข้อสำคัญนี้ในกิจการ 15: 8-10 คือเปโตรอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาไปเยี่ยมบ้านนายร้อยและการที่พระเจ้ายอมรับพวกเขาโดยการให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้นเขากล่าวว่า  เราไม่ควรใส่แอกอย่างหนักไว้บนไหล่ของคนต่างชาติ ซึ่งพวกเขาหรือบรรพบุรุษของพวกเขายังไม่สามารถแบกไหว

กิจการ 15:8-10 พระเจ้าผู้ทรงทราบจิตใจมนุษย์ได้ทรงรับรองคนต่างชาติ และทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่เขาเหมือนได้ทรงประทานแก่พวกเรา พระองค์ไม่ทรงถือว่าเรากับเขาต่างกัน แต่ทรงชำระใจเขาให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อ  ถ้าอย่างนั้นทำไมบัดนี้ท่านทั้งหลายจึงทดลองพระเจ้า โดยวางแอกบนคอของพวกสาวกซึ่งบรรพบุรุษของเราหรือตัวเราเองก็ดีแบกไม่ไหว

คำสำคัญที่นี่คือ “แอกที่ทั้งเราและบรรพบุรุษของเราแบกไม่ไหว” ส่วนใหญ่จะเชื่อว่าเปโตรกำลังพูดถึงพระราชบัญญัติของพระเจ้า แต่เขาไม่ได้อ้างถึงพระบัญญัติของพระเจ้าเลย เขาอ้างถึงธรรมเนียมของชาวยิว จากบรรพบุรุษของพวกเขา, บัญญัติของมนุษย์ (เทลมุด)

เปโตรกำลังพูดถึงเรื่องราวนี้ในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่อธิบายไว้ในกิจการ 10: 24-33 ซึ่งเขาไปเยี่ยมบ้านนายร้อยหลังจากเขาได้รับนิมิตจากพระเจ้าเกี่ยวกับผืนผ้าที่เต็มไปด้วยสัตว์ที่ไม่สะอาด สังเกตเห็นสิ่งที่เขาพูดในข้อ 28:

จึงกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า คนชาติยิวนั้นจะคบให้สนิทกับคนต่างชาติหรือเข้าเยี่ยมก็เป็นที่พระบัญญัติห้ามไว้ (เป็นบัญญัติของยิว)แต่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้ามหรือมลทิน (กิจการ 10:28)

มันไม่ขัดกับพระบัญญัติของพระเจ้าที่จะไปเยี่ยมคนต่างชาติหรือเกี่ยวข้องกับคนต่างชาติค่อนข้างตรงกันข้าม พระราชบัญญัติของพระเจ้าบอกเราว่าพวกเขาควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในพวกเขาเอง

เลวีนิติ 19:33-35 เมื่อคนต่างด้าวอาศัยอยู่กับเจ้าในแผ่นดินของเจ้า อย่าข่มเหงเขา คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่กับเจ้านั้นก็เหมือนกับชาวเมืองของเจ้า เจ้าจงรักเขาเหมือนกับรักตัวเอง เพราะว่าเจ้าเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์ เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า  เจ้าอย่ากระทำผิดในการพิพากษา ในการวัดยาว หรือชั่งน้ำหนักหรือนับจำนวน

กันดารวิถี 15:14-16 ถ้าคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่กับเจ้า หรือคนหนึ่งคนใดท่ามกลางเจ้าตลอดชั่วอายุของเจ้าจะใคร่ถวายเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า ก็ให้เขาทั้งหลายกระทำเหมือนเจ้าทั้งหลายได้กระทำนั้น จะต้องมีกฎอย่างเดียวกันสำหรับชุมนุมชนและสำหรับคนต่างด้าวผู้มาอาศัยอยู่กับเจ้า เป็นกฎถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้า คือเจ้าเป็นอย่างใด คนต่างด้าวก็เป็นอย่างนั้นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ จะต้องมีพระราชบัญญัติอย่างเดียวกันและลักษณะอย่างเดียวกันสำหรับเจ้าและสำหรับคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่กับเจ้า”

ชาวยิวในเวลานั้นไม่เพียง แต่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังอยู่ภายใต้บัญญัติของยิวด้วย หนึ่งในหัวข้อในกิจการ 15 คือคำถามว่าผู้เชื่อชาวต่างชาติจำเป็นต้องเข้าสุหนัตหรือไม่ เมื่อคนต่างชาติเปลี่ยนมาเป็นยิวโดยผ่านการเข้าสุหนัตพวกเขาไม่เพียงแต่ต้องรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบัญญัติของยิวที่พวกยิวคนอื่นบังคับ! นี่คือสิ่งที่เปโตรกำลังต่อต้าน!

เรามีตัวอย่างมากมายนับไม่ถ้วนที่พระเยซูกำลังต่อสู้กับพวกฟาริสีในเรื่องเกี่ยวกับว่าพวกเขาเหล่านี้ที่สร้างพระบัญญัติขึ้นมา มีบางตัวอย่าง:

  • มาระโก 7: 1-13 สาวกของพระเยซูไม่ได้ล้างมือก่อนกิน
  • หรือในคราวนั้นพระเยซูเสด็จไปในทุ่งนาในวันสะบาโต และพวกสาวกของพระองค์หิวจึงเริ่มเด็ดรวงข้าวมากิน (มัทธิว 12: 1, มาระโก 2:23)
  • เปาโลถูกกล่าวหาว่านำคนต่างชาติเข้ามาในพระวิหารและกระทำการทำให้วิหารเป็นมลทิน (กิจการ 21:28) ในขณะที่เราอ่านในกันดารวิถี 15:14 นั่นให้ทุกคนสามารถนำเครื่องบูชามาถวายแด่พระเจ้าได้

คุณสามารถหาตัวอย่างอื่น ๆ อีกมากมาย แต่เมื่อคุณทดสอบในพระคัมภีร์คุณจะพบว่าเหล่านี้ไม่ใช่ พระราชบัญัติของพระเจ้า แต่เป็นบัญญัติของมนุษย์ เป็นประเพณีของบรรพบุรุษของยิวเรียกว่า บัญญัติปากเปล่า (เทลมุด) พระเยซูกล่าวถึงเอาภาระหนักและแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ :

มัทธิว 23:2-4 ว่า “พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส เหตุฉะนั้นทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขา อย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่ ด้วยเขาเอาภาระหนักและแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย

ดังที่เราเห็นจากสิ่งที่พระเยซูกล่าวไว้เหตุผลสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้เราเชื่อว่า พระราชบัญญัตินั้นยากเกินกว่าที่จะปฏิบัติตามได้เพราะเราผสมผสาน’บัญญัติของมนุษย์’กับพระราชบัญญัติของพระเจ้า

มีอีกเหตุผลที่เราเชื่อว่าพระราชบัญญัติของพระเจ้าเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาหรือปฏิบัติตามได้ เป็นเพราะหลักคำสอนของคริสตจักรสอนเราว่าในสมัยพันธสัญญาเดิมคนที่จะได้รับความรอดได้ก็โดยการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้น  และตอนนี้เป็นยุคพันธสัญญาใหม่คนเราจะได้รับความรอดก็โดยพระคุณผ่านความเชื่อแทน นี่ไม่ใช่แนวคิดในพระคัมภีร์ แต่เป็นหลักคำสอนของคริสตจักร!

ลองพยายามที่หาที่ใดก็ได้ในพันธสัญญาเดิมที่คนอิสราเอลบอกว่าพวกเขาจะพบความรอดโดยปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ คุณจะพบว่าไม่มีที่ไหนเลย คุณจะพบว่าความรอดนั้นเกิดจากความเชื่อเพียงอย่างเดียว บางสิ่งที่เปาโลพยายามทำให้ชัดเจนทั้งในโรมและกาลาเทีย เมื่อเปาโลกล่าวในกาลาเทีย 3:11 “ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครชอบธรรมได้ต่อพระพักตร์พระเจ้าโดยปฎิบัติตามพระราชบัญญัติ ‘คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ'” จริง ๆ แล้วเขาอ้างถึงพันธสัญญาเดิมในฮาบากุก 2: 4 … แต่ว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ ดูในโรม 4: 2-3:

โรม 4:2-3 เพราะถ้าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมโดยการประพฤติ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้ แต่มิใช่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ด้วยว่าพระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า `อับราฮัมได้เชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’

ดังที่เราเห็นได้ว่าไม่ใช่พันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่หรือแนวคิดของพันธสัญญาใหม่ความรอดนั้นเกิดขึ้นได้จากความเชื่อ ในความคิดของผมเห็นว่าคนที่พูดแบบนี้ไม่เข้าใจในพันธสัญญาใหม่ และสอนสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้จากหลักคำสอนของคริสตจักรเท่านั้น

หลักคำสอนของคริสตจักรเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้คนมีความเข้าใจในแง่ลบเกี่ยวกับพระราชบัญญัติของพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการปฎิบัติตามพระราชบัญญัติของพระองค์เพื่อความรอด แต่พระเจ้าต้องการให้เราปรารถนาด้วยใจของเราที่จะปฎิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์และความปรารถนานี้สะท้อนให้เห็นในการกระทำของเราโดยทำสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ พระองค์ต้องการให้เรารักษาพระราชบัญญัติของพระองค์เพื่อแสดงความรักของเราต่อพระองค์ จำไว้ว่าพระราชบัญญัติของพระองค์นั้นเกี่ยวกับความรัก!

พระบัญญัติในนิยามของเปาโล

แต่ถ้าเป็นตามโรม 7 เปาโลบอกชัดเจนว่าเขาไม่สามารถหยุดทำสิ่งที่ผิดได้อย่างเด็ดขาดดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย โรม 7 + 8 เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจเปาโลเมื่อเขาพูดถึงพระบัญญัติ เพราะในบทเหล่านี้เขาไม่เพียง แต่พูดถึงพระราชบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้น แต่เขายังระบุอีก 3 บัญญัติ:

  1. บัญญัติแห่งบาป (โรม 7:23)
  2. บัญญัติแห่งพระวิญญาณ (โรม 8:2)
  3. บัญญัติแห่งบาปและความตาย (โรม 8:2)

เหล่านี้บทที่ 2 เหล่านี้สมบูรณ์แบบเพื่อแสดงว่าอะไรคือพระบัญญัติของพระเจ้าและอะไรไม่ใช่! หลักคำสอนของคริสตจักรสอนว่าพระราชบัญญัติทำให้เกิดการเป็นทาสและกักขังเรา ที่พวกเขาสอนเช่นนี้ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เปาโลบอกเราในบทที่ 2 นี้ เปาโลอธิบายที่นี่สิ่งที่ก่อให้เกิดการเป็นทาสและสิ่งที่เป็นทาสและเกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติของพระเจ้าอย่างไร

โรมบทที่ 7 เปาโลวาดภาพความขัดแย้งระหว่างพระบัญญัติของพระเจ้าและบาปเปาโลกล่าวในบทนี้ว่าพระบัญญัติของพระเจ้าคือ:

  • บริสุทธิ์, ชอบธรรมและความดี
  • จิตวิญญาณ
  • ความปีติยินดี

แต่เขาสงสัยว่าทำไมพระราชบัญญัติดี บริสุทธิ์และชอบธรรมทำให้เกิดความขัดแย้งภายในจิตใจของใครบางคน

โรม 7:15 ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น

โรม 7:17 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ

เปาโลพบคำตอบสำหรับปัญหาของเขาในตอนท้ายของบทที่ 7:

โรม 7:21 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเป็นกฎอย่างหนึ่ง คือเมื่อใดข้าพเจ้าตั้งใจจะกระทำความดี ความชั่วก็ยังติดอยู่ในตัวข้าพเจ้าเพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าชื่นชมในพระราชบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในอวัยวะของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาปซึ่งอยู่ในอวัยวะของข้าพเจ้า

ไม่ใช่พระราชบัญญัติของพระเจ้าที่เป็นทาสหรือก่อให้เกิดความเป็นทาส แต่เป็นบัญญัติแห่งบาปที่ทำเช่นนี้ เปาโลพบบัญญัติหนึ่งในร่างกายของเขาและเรียกมันว่ากฎแห่งบาปนี้ต่อต้านพระราชบัญญัติของพระเจ้าโดยตรงเมื่อเราอ่านในข้อ 23

ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเยซูทรงทำเพื่อเราบนกางเขนได้อย่างไรในข้อสุดท้ายของบทที่ 7 และ 2 ข้อแรกของบทที่ 8:

โรม 7:24- 25  โอ ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจจริง ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้ได้ ขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

โรม 8:1-2 เหตุฉะนั้นบัดนี้การปรับโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ  เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย 

เราอ่านนั้นที่นี่:

บัญญัติของพระวิญญาณแห่งชีวิตทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากบัญญัติแห่งบาปและความตาย 

และให้เราอ่านใน 1โครินธิ์ 15:21-22 และต่อไป:

เพราะว่าความตายได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์คนหนึ่งเป็นเหตุฉันใด การเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นเหตุฉันนั้น
เพราะว่าคนทั้งปวงต้องตายเกี่ยวเนื่องกับอาดัมฉันใด คนทั้งปวงก็จะกลับได้ชีวิตเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์ฉันนั้น  (1โครินธ์ 15:21-22)

ดังนั้นที่นี่เราพบกฎอีก 2 ข้อที่เปาโลนิยามและเหล่านนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับคำสาปของอาดัมและพรของพระคริสต์:

  1. บัญญัติแห่งบาปและความตาย (คำสาปแช่งของอาดัม – ความตายผ่านคนเดียว)
  2. บัญญัติแห่งพระวิญญาณแห่งชีวิต (ดำเนินชีวิตตามพระคริสต์ลบล้างคำสาปแช่งของอาดัม)

พระบัญญัติของพระเจ้าไม่ได้นำความตายมา แต่ “บัญญัติแห่งบาปและความตาย” = “คำสาปของอดัม” ใช่พระเยซูไม่ได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากพระราชบัญญัติแต่พระองค์ให้เราเป็นอิสระจาก “บัญญัติแห่งบาปและความตาย” สิ่งนี้เป็นหัวใจของพันธสัญญาใหม่ (บัญญัติแห่งพระวิญญาณแห่งชีวิต)

เอเศเคียล 36:26-27 Eze 36:26 เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และจะให้ใจเนื้อแก่เจ้า และเราจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้า และกระทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และเจ้าจะรักษาคำตัดสินของเราและกระทำตาม (จะรักษาพระราชบัญญัติและทำตาม)

ฉันขอแนะนำให้ศึกษาคำจำกัดความทั้งหมดของเปาโลเกี่ยวกับพระบัญญัติและลักษณะต่าง ๆ ของเปาโลมันจะช่วยให้เข้าใจสิ่งที่เปาโลเขียนในจดหมายของเขาทั้งหมด เพื่อให้สรุปสิ่งที่เราพบในรอม 7 และ 8:

  • พระบัญญัติของพระเจ้า (บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดี ปีติยินดี พระวิญญาณ ให้รู้ว่าบาป อวยพรเราเมื่อเรารักษาแต่สาปแช่งเราเมื่อเราไม่รักษาหรือทำตาม)
  • บัญญัติแห่งบาป (ตรงข้ามกับพระบัญญัติของพระเจ้า, เป็นทาส, ถูกคุมขัง, ทำให้เกิดผลแห่งบาป)
  • บัญญัติแห่งบาปและความตาย (คำสาปของอาดัมนำมาซึ่งความตาย)
  • พระบัญญัติแห่งพระวิญญาณและชีวิต (ปลดปล่อยเราให้พ้นจากบัญญัติแห่งบาปและความตาย ช่วยเราต่อต้านความบาป ทำให้เรารู้ตัวว่าทำบาป ส่งผลให้เกิดฝ่ายพระวิญญาณ)

ตัวอย่างเกี่ยวกับวิธีช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เปาโลเขียน:

โรม 6:12-14 เหตุฉะนั้นอย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของกายนั้น 13 อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะของท่านเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า 14 เพราะว่าบาปจะมีอำนาจเหนือท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้(อาจารย์ใหญ่-กาลาเทีย 3:24)  เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้พระราชบัญญัติ (บัญญัติบาปและความตาย) แต่อยู่ใต้พระคุณ

สิ่งที่ทำให้หลักคำสอนของคริสตจักรล้มเหลวคือขาดการทดสอบ สิ่งที่พวกเขาเชื่อในพันธสัญญาเดิมดังที่ชาวเบโรอาทำ (กิจการ 17:11) หากพวกเขาจะทดสอบในแนวคิดที่ว่าพระราชบัญญัติทำให้เราเป็นทาส แต่พวกเขาก็จะพบว่าในพระคัมภีร์เดิมจริงๆ แล้วมันตรงกันข้าม:

สดุดี 119:44-48 ข้าพระองค์จะรักษาพระราชบัญญัติของพระองค์สืบๆไปเป็นนิจกาล 45 และข้าพระองค์จะเดินอย่างเสรีเพราะข้าพระองค์ได้แสวงข้อบังคับของพระองค์ 46 ข้าพระองค์จะพูดถึงพระโอวาทของพระองค์ต่อเบื้องพระพักตร์บรรดากษัตริย์และจะไม่ขายหน้า 47 ข้าพระองค์จะปีติยินดีในพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์รัก 48 ข้าพระองค์จะยกมือต่อพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งข้าพระองค์รัก และข้าพระองค์จะรำพึงถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์

เราได้รับคำเตือนจากเปโตรในคำพูดสุดท้ายของเขาว่าสิ่งที่เปาโลเขียนจะถูกนำออกไปจากบริบทและเราควรระวังเพื่อที่เราจะได้ไม่ถูกพรากไปจากความผิดพลาดของคนที่ไม่มีพระบัญญัติผิดศีลธรรม!

2เปโตร 3:15-17 และจงถือว่า การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอดกลั้นพระทัยไว้นานนั้นเป็นการช่วยให้รอด ดังที่เปาโลน้องที่รักของเราได้เขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลายด้วย ตามสติปัญญาซึ่งพระองค์ได้ทรงโปรดประทานแก่ท่านนั้น 16 เหมือนในจดหมายของท่านทุกฉบับ ท่านได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านั้น และในจดหมายนั้นมีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่ไม่ได้เรียนรู้และไม่แน่นอนมั่นคงนั้นได้เปลี่ยนแปลงเสีย เหมือนเขาได้เปลี่ยนแปลงข้ออื่นๆในพระคัมภีร์ จึงเป็นเหตุกระทำให้ตัวพินาศ 17 เพราะเหตุนั้น พวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายรู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว ท่านก็จงระวังให้ดี เกรงว่าท่านอาจจะหลงไปกระทำผิดตามการผิดของคนชั่ว และท่านทั้งหลายจะสูญเสียความหนักแน่นมั่นคงของท่าน (คนไม่มีพระบัญญัติ = คนที่ไม่เชื่อว่าพระบัญญัติจะใช้กับพวกเขาได้)

คุณอาจเคยได้ยินข้อโต้แย้งว่ามีพระราชบัญญัติมากกว่า 600 กฎและไม่มีใครสามารถปฏิบัติตามได้ทั้งหมด อย่างที่เราเห็นในตอนต้นแล้วในฐานะพลเมืองเราปฏิบัติตามกฎหมาย อย่างน้อยก็ต้องเป็นร้อยๆ กฎหากไม่เป็นพัน ๆ กฎ  ตอนนี้ คล้ายกันมากกับพระราชบัญญัติของพระเจ้า พระบัญญัติจำนวนมากมันอยู่ในสามัญสำนึกของคนเราอยู่แล้วในกฎพื้นฐาน ส่วนบัญญัติอื่น ๆ นั้นจะนำไปใช้เฉพาะพวกปุโรหิตที่ต้องทำพิธีต่างในพระวิหาร ซึ่งไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกในทุกวันนี้ เพราะพระวิหารถูกทำลายแล้วในปี 70 AD พระราชบัญญัติข้ออื่น ๆ มีความเฉพาะเจาะจงสำหรับกลุ่มเป้าหมายบางกลุ่มและเช่นเดียวกับที่ถูกกำหนดให้รักษาโดยกลุ่มเป้าหมายนั้นซึ่งคล้ายกับกฎหมายจราจรเกี่ยวกับการขับรถยนต์หากคุณไม่ได้ขับรถ กฎหมายจราจร เหล่านั้นจะไม่สามารถใช้ได้กับคุณ

เมื่อเราดูที่การพิจารณาในยากอบในเรื่องพระบัญญัติที่ให้ทำตาม ในกิจการ 15: 19-21 เกี่ยวกับผู้เชื่อต่างชาติที่เราอ่าน ให้งดเว้นเสียจากสิ่งที่มลทินเนื่องด้วยรูปเคารพ จากการล่วงประเวณี จากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และจากการรับประทานเลือด นอกจากนี้เรายังอ่านบางสิ่งที่คริสเตียนคณะต่างๆ ส่วนใหญ่ข้ามไปด้วย นั้นคือการเรียนพระราชบัญญัติส่วนที่เหลืออื่น ๆ ซึ่งพวกเขาจะเรียนเพิ่มเติมในธรรมศาลาทุกวันสะบาโต!

เราไม่ได้ถูกคาดหวังทันทีจะเข้าใจพระบัญญัติทั้งหมดวิธีที่เราจะนำมาใช้ก็โดยการได้เรียนรู้ พระรชบัญญัติเหล่านั้นในวันสะบาโตเราศึกษาพระบัญญัติของพระเจ้า และอ่านโทราห์พร้อมกันทั่วโลกในทุกวันสะบาโต(วันเสาร์) ซึ่งจะสามารถอ่านโทราห์ทั้งหมดได้ภายในหนึ่งปีครบอย่างสมบูรณ์ในธรรมศาลา โดยเริ่มจากปฐมกาล 1: 1 ทันทีหลังจากงานเลี้ยงฉลองเทศกาลอยู่เพิง (Sukkot) ในวันที่แปดของเทศกาล https://en.wikipedia.org/wiki/Weekly_Torah_portion

พระราชบัญญัติของพระเจ้าไม่ใช่ภูเขาที่เป็นไปไม่ได้ที่เราจะปีนขึ้นไป แต่เป็นความลาดชันมากกว่าและเมื่อเราทดสอบความคิดที่ว่าพระราชบัญญัติของ พระเจ้านั้นยากเกินไป ด้วยข้อพระคัมภีร์เองเราอ่านพบว่าพระราชบัญญัติของพระเจ้าไม่เป็นภาระหรือยากเกินไปที่จะปฏิบัติตาม:

1 ยอห์น 5:3 เพราะนี่แหละเป็นความรักต่อพระเจ้า คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นที่หนักใจ

ฉธบ 30:11 เพราะว่าพระบัญญัติซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ ไม่ได้ปิดบังไว้จากท่าน และไม่ห่างเหินเกินไปด้วย

หวังว่าคุณจะเริ่มเห็นว่าอารมณ์เชิงลบอย่างมากที่เกี่ยวพระราชบัญญัติของพระเจ้านั้นเกิดจากเราไม่เข้าใจพระบัญญัติของพระเจ้าคืออะไร ดังนั้นให้เราเริ่มดูว่าจริงๆ แล้วอะไรคือพระราชบัญญัติของพระเจ้า

พระราชบัญญัติของพระเจ้าคืออะไร

ผมต้องสรุปพระราชบัญญัติของพระเจ้าโดยใช้คำเดียว ที่เราอ่าน:

  • สมบูรณ์แบบ (สดุดี 19: 7)
  • การตัดสินที่ชอบธรรม (เนหมีย์ 9:13)
  • ดี (สุภาษิต 4: 2, โรม 7:12)
  • ชีวิต (สุภาษิต  6:23)
  • ความจริง (สดุดี 119: 142)
  • แสงสว่าง (อิสยาห์ 8: 20, สดุดี 119: 105, สุภาษิต 6:23)
  • ทาง (มาลาคี 2: 8, Psa 119: 32, สดุดี 1: 6, สุภาษิต 6:23)
  • อิสรภาพ (สดุดี 119: 45)
  • บริสุทธิ์ (โรม 7:12)
  • ปีติยิน (สดุดี 1: 2, โรม 7:22)
  • ไม่เป็นภาระหรือยากที่จะทำตาม (ฉธบ 30: 11,1ยอห์น 5: 3)

พระเยซูยังทรงแสดงให้เราเห็นในมัทธิว 22: 36-40 ด้วยว่าหัวใจของพระราชบัญญัติของพระเจ้าคือความรัก เมื่อเราดูความหมายของคำว่าโทราห์จริงๆแล้วมันหมายถึงคำแนะนำ

คำว่า “โทราห์” ในภาษาฮิบรูมาจากรากירהซึ่งในการผันคำกริยา หมายถึง ‘นำทาง’ หรือ ‘สอน’ (เปรียบเทียบเลวีนิติ 10:11) ความหมายของคำนั้นจึงเป็น “การสอน” “หลักคำสอน” หรือ “คำสั่ง”; “คำแนะนำ” เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป พระบัญญัติให้ความรู้สึกสิ่งที่ผิด (https://en.wikipedia.org/wiki/Torah)

พระบัญญัติของพระเจ้า = คำสั่งของพระเจ้าสำหรับเรา เมื่อคุณคิดถึงสิ่งนี้คุณจะเริ่มตระหนักว่าพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าคือคำแนะนำของพระองค์สำหรับเรา เราเห็นในพระคัมภีร์หลายข้อว่าพระราชบัญญัติมีการอ้างว่า “คำพูดของพระองค์” เราเห็นสิ่งนี้ใน 1 ยอห์น 2: 3-6:

เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์โดยข้อนี้ คือถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  คนใดที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นก็เป็นคนพูดมุสา และความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย แต่ผู้ใดที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็สมบูรณ์อยู่ในคนนั้นอย่างแท้จริง ด้วยอาการอย่างนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์ ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้นด้วย(1 ยอห์น 2:3-6 )

นอกจากนี้เราอ่านในสดุดี 119 เกี่ยวกับสิ่งที่พระราชบัญญัติของพระเจ้าเป็นจริงและคล้ายกับสิ่งที่เราเห็นใน 1 Jn 2: 3-6 เราเห็นว่าคำว่า ‘พระบัญญัตฺของพระองค์’ และ ‘พระคำของพระองค์’ นั้นใช้แทนกันได้ เมื่อเราเริ่มเข้าใจว่าพระบัญญัติของพระเจ้าคืออะไรจริง ๆ แล้วมันจะเปลี่ยนเรา!

เราทุกคนรู้ว่าพระเยซูคือ “พระคำ”:

ยอห์น 1:1 ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า

แต่เราก็อ่านสิ่งที่พระเยซูพูดเกี่ยวกับพระองค์เองด้วย:

ยอห์น 8:12 …. พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”

ยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา

ในทางกลับกันเราเห็นแล้วว่าพระบัญญัติของพระเจ้าคือ:

  • เป็นทางนั้น  (มาลาคี 2: 8, สดุดี 119: 32, สดุดี 1: 6, สุภาษิต 6:23)
  • เป็นความจริง (สดุดี 119: 142)
  • เป็นชีวิต (สุภาษิต 6:23)
  • เป็นแสงสว่าง (อิสยาห์ 8:20, สดุดี 119: 105, สุภาษิต 6:23)

กล่าวอีกนัยหนึ่งพระเยซูคือพระบัญญัติ (พระเยซู = พระคำ = พระราชบัญญัติ)! พระองค์คือพระราชบัญญัติที่เป็นตัวตน!

ถ้าเรารักพระคริสต์เรารักพระราชบัญญัติ บางสิ่งใน  1ยอห์น 2: 3-6 และ 1ยอห์น 5: 2-3 จะช่วยทำให้ชัดเจนสำหรับเรา:

1 ยอห์น 2:3-6 เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์โดยข้อนี้ คือถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  คนใดที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นก็เป็นคนพูดมุสา และความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย แต่ผู้ใดที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็สมบูรณ์อยู่ในคนนั้นอย่างแท้จริง ด้วยอาการอย่างนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์ ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้นด้วย

1 ยอห์น 5:2-3 เมื่อเราทั้งหลายรักพระเจ้าและได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราจึงรู้ว่าเรารักคนทั้งหลายที่เป็นบุตรของพระเจ้า
เพราะนี่แหละเป็นความรักต่อพระเจ้า คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นที่หนักใจ 

เมื่อเราเข้าใจว่าพระเยซูทรงเป็นตัวตนของพระราชบัญญัติและเราในฐานะสาวกของพระองค์ต้องดำเนินชีวิตตามอย่างที่พระองค์ทรงทำ เริ่มมีความหมายมากขึ้น พระเยซูคือตัวอย่างของเราและเราในฐานะที่เป็นสาวกของพระองค์จะต้องปฏิบัติตาม

ข้อพระคัมภีร์เช่น โรม 10:14  ที่ คำว่า จุดจบ จริงๆ แล้ว หมายถึง ‘จุดสิ้นสุดของเป้าหมาย’ หรือ ‘เป้าหมาย’ เริ่มที่จะทำให้เข้าใจมากขึ้น:

โรม 10:4 พระคริสต์ทรงเป็นจุดจบ telos (τέλος)  ของพระราชบัญญัติ  เพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อได้รับความชอบธรรม

เทโลส telos (จากกรีกςοςสำหรับ “สิ้นสุด”, “วัตถุประสงค์” หรือ “เป้าหมาย”) เป็นจุดสิ้นสุดหรือจุดประสงค์ในความหมายที่ค่อนข้าง จำกัด ที่ใช้โดยนักปรัชญาเช่นอริสโตเติล มันเป็นรากเหง้าของคำว่า “teleology” การศึกษาเกี่ยวกับจุดประสงค์อย่างคร่าว ๆ หรือการศึกษาวัตถุ กับมุมมองไปยังเป้าหมายของพวกเขา เพื่อวัตถุประสงค์หรือความตั้งใจ

สิ่งนี้แสดงให้เห็นในวิธีที่เราสามารถพูดได้ว่าเทโลสแห่งสงครามคือชัยชนะหรือธุรกิจที่สร้างความมั่งคั่ง

เทโลส แห่งพระบัญญัติคือพระคริสต์!

เมื่อเราเชิญพระเยซูเข้ามาในใจเราจะได้เชิญพระราชบัญญัติของพระเจ้าเข้ามาในใจของเราด้วยซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของพันธสัญญาใหม่!

สรุป:

ตอนนี้เรารู้แล้วว่าพระเยซูคือพระราชบัญญัติของพระเจ้ามันไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมดาวิดถึงบอกว่าเขารักพระบัญญัติของพระเจ้าและทำไมเปาโลเรียกพระบัญญัติของพระเจ้าว่าเป็นความปีติยินดี  ความบริสุทธิ์ และความดี อ่านสดุดี 119 และค้นพบอีกว่าพระราชบัญญัติของพระเจ้านั้นวิเศษเพียงใด!

อิสรภาพไม่พบนอกพระราชบัญญัติ นอกพระราชบัญญัติเป็นอนาธิปไตย(ขาดการปกครอง)  เสรีภาพถูกพบในพระราชบัญญัติในพระคริสต์!

ขอให้พระเจ้าอวยพรท่านและอย่าลืมทดสอบทุกสิ่ง!

 

ในคำพูดนี้ที่พระเยซูตรัสว่า อาหารทุกอย่างปราศจากมลทิน

11 เม.ย. 20
Sunete
No Comments

ครั้นพระองค์ได้เสด็จเข้าไปในเรือนพ้นประชาชนแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์ก็ได้ทูลถามพระองค์ถึงคำอุปมานั้น พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ถึงท่านทั้งหลายก็ยังไม่เข้าใจหรือ ท่านยังไม่เห็นหรือว่าสิ่งใดๆแต่ภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินไม่ได้ 19 เพราะว่าสิ่งนั้นมิได้เข้าในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป (ทำให้อาหารทุกอย่างปราศจากมลทิน)  พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน (มาระโก 7:17-20)

ผมเพิ่งอ่านบทความว่าประเทศจีนได้จัดประเภทสุนัขใหม่ให้เป็นสัตว์เลี้ยงมากกว่าเป็นสัตย์ที่ใช้เป็นอาหาร เพื่อตอบสนองต่อการระบาดของ โควิด-19 พวกเราส่วนใหญ่มักเกิดความสงสัยว่า (โดยเฉพาะชาวตะวันตก) มีบางคนกินสุนัขเป็นอาหารด้วยหรือ

เมื่อพระเยซูอ้างถึง ‘อาหารทุกอย่าง’ พระองค์จัดว่าอะไรเป็นอาหาร ในพระคัมภีร์หรืออ้างถึงอาหารที่กินในเวลานั้นทั่วโลก? เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเข้าใจว่าพระเยซูจัดประเภทอะไรเป็นอาหารโดยอ่านพระคัมภีร์ในบริบทอย่างเหมาะสม

มาระโก 7: 1-23 เป็นข้อพระคัมภีร์สำคัญที่ใช้ทุกวันนี้เพื่อใช้ในการสอนซึ่งเป็นหลักคำสอนของคริสตจักรที่ ว่า พระเยซูทรงประกาศว่าอาหารทุกอย่างสะอาดรวมถึงสิ่งที่แยกประเภทไว้ในพระคัมภีร์ว่าเป็นสัตว์ไม่สะอาดห้ามกินนั้นด้วย (เลวีนิติ 11)

ข้อพระคัมภีร์อื่น ๆ ที่ใช้สำหรับการโต้แย้งนี้คือ:

  • กิจการ 10:15 นิมิตของเปโตรที่เห็นมีภาพผ้าผืนใหญ่และมีสัตว์ที่ไม่สะอาด
  • และสิ่งที่เปาโลเขียนในโรม 14:14

เราจะดูพระคัมภีร์เหล่านี้ในบริบทที่เหมาะสมของเนื้อเรื่องที่พยายามจะบอกกับเรา

มาระโก 7:1-23  สะอาดและไม่สะอาด

เมื่ออ่านเนื้อเรื่องทั้งหมดคุณจะสังเกตเห็นว่าไม่มีการอ้างถึงอาหารที่รับประทานจัดเป็นประเภทเนื้อสัตว์ไม่สะอาดในพระคัมภีร์! เราไม่เห็นว่าพวกฟาริสีอารมณ์เสียเพราะเหล่าสาวกของพระเยซูกำลังกินกุ้งเผาหรือหมูย่าง แต่ที่พวกเขาหัวเสียก็เพราะเหล่าสาวกไม่ได้ล้างมือก่อนที่จะกินอาหารตามธรรมเนียมของตน ซึ่งเป็นบัญญัติของมนุษย์(บัญญัติปากเปล่า/เทลมุด)

มาระโก 7:1-5 ครั้งนั้นพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์บางคน ซึ่งได้มาจากกรุงเยรูซาเล็ม พากันมาหาพระองค์ เมื่อเขาได้เห็นเหล่าสาวกของพระองค์บางคนรับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทิน คือมือที่ไม่ได้ล้างก่อน เขาก็ถือว่าผิด  เพราะว่าพวกฟาริสีกับพวกยิวทั้งสิ้นถือตามประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษว่า ถ้ามิได้ล้างมือตามพิธีโดยเคร่งครัด เขาก็ไม่รับประทานอาหารเลย และเมื่อเขามาจากตลาด ถ้ามิได้ล้างก่อน เขาก็ไม่รับประทานอาหาร และธรรมเนียมอื่นๆอีกหลายอย่างเขาก็ถือ คือล้างถ้วย เหยือก ภาชนะทองสัมฤทธิ์ และโต๊ะ  พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกสาวกของท่านไม่ประพฤติตามประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่รับประทานอาหารโดยมิได้ล้างมือเสียก่อน”

ตามบริบทของข้อความทั้งหมดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกินเนื้อสัตว์ที่ไม่สะอาด แต่เกี่ยวข้องกับการกินโดยที่ไม่ได้ล้างมือก่อน ซึ่งตามบัญญัติของมนุษย์ ทำให้คนนั้นไม่สะอาด ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่าคำจำกัดความของพระเยซูเรื่อง ‘อาหารทุกอย่าง’ จะรวมถึงสัตว์ที่ถือว่าไม่สะอาดในบริบทนี้

พระเยซูตอบอย่างชัดเจนในสิ่งที่พระองค์คิดเกี่ยวกับธรรมเนียมและบัญญัติที่มนุษย์สร้างขึ้นมา และเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจสิ่งที่พระเยซูพูดจริงกับสาวกของพระองค์ในตอนท้าย เราอ่านคำตอบของพระองค์ตามข้อเหล่านี้

พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคดก็ถูก ตามที่ได้เขียนไว้ว่า `ประชาชนนี้ให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขา แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาอวดอ้างว่า เป็นพระดำรัสสอน’ เจ้าทั้งหลายละพระบัญญัติของพระเจ้า และกลับไปถือตามประเพณีของมนุษย์ คือการล้างถ้วยเหยือก และสิ่งอื่นๆเช่นนี้อีกหลายสิ่ง เจ้าทั้งหลายก็ทำอยู่” พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “เหมาะจริงนะ ที่เจ้าทั้งหลายได้ละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ถือตามประเพณีของพวกท่าน  เพราะโมเสสได้สั่งไว้ว่า `จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน’ และ `ผู้ใดด่าแช่งบิดามารดา ผู้นั้นต้องถูกปรับโทษถึงตาย’ แต่พวกเจ้ากลับสอนว่า `ผู้ใดจะกล่าวแก่บิดามารดาว่า “สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่าน สิ่งนั้นเป็นโกระบัน”‘ แปลว่าเป็นของถวายแล้ว เจ้าทั้งหลายจึงไม่อนุญาตให้ผู้นั้นทำสิ่งใดต่อไป เป็นที่ช่วยบำรุงบิดามารดาของตน เจ้าทั้งหลายจึงทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหมันไปด้วยประเพณีของพวกท่านซึ่งพวกท่านได้สอนไว้ และสิ่งอื่นๆเช่นนี้อีกหลายสิ่ง เจ้าทั้งหลายก็ทำอยู่” (มาระโก 7:6-13)

ตอนนี้ลองนึกถึงสิ่งนี้: พระองค์เรียกพวกเขาว่าคนหน้าซื่อใจคดเพราะให้เกียรติพระเจ้าด้วยริมฝีปากของพวกเขา แต่ไม่ใช่ด้วยหัวใจของพวกเขาและในการทำตามบัญญัติของมนุษย์(บัญญัติปากเปล่า)ซึ่งเป็นธรรมเนียมของพวกเขานั้น ทำให้พระบัญญัติของพระเจ้าเป็นหมันจากนั้นพระเยซูก็ดำเนินการสอนนั้นต่อไป  แต่ตามหลักคำสอนของคริสตจักรทุกวันนี้เช่นกันที่ประกาศสัตว์ที่ไม่สะอาดตามพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นสัตย์สะอาด ดังนั้นคริสเตียนจึงมีอิสระที่จะกินอะไรได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น หมู หมา แมว  ปู กุ้ง หอย บรรดาสัตย์เลื้อยคลาน ฯลฯ  ซึ่งการกระทำเช่นนั้นทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหมันด้วย! จริง ๆ แล้วเหมือนกับว่าจะทำให้พระเยซูเป็นคนปากว่าตาขยิบที่ยิ่งใหญ่กว่าพวกฟาริสีเสียด้วยซ้ำไป

ข้อโต้แย้งที่ใช้โดยหลักคำสอนของคริสตจักรในเรื่องนี้คือคำอธิบายของพระเยซูต่อเหล่าสาวกที่เราสามารถอ่านได้ในข้อ 7: 17-23:

มาระโก7:17-23  ครั้นพระองค์ได้เสด็จเข้าไปในเรือนพ้นประชาชนแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์ก็ได้ทูลถามพระองค์ถึงคำอุปมานั้น  พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ถึงท่านทั้งหลายก็ยังไม่เข้าใจหรือ ท่านยังไม่เห็นหรือว่าสิ่งใดๆแต่ภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินไม่ได้  เพราะว่าสิ่งนั้นมิได้เข้าในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป ทำให้อาหารทุกอย่างปราศจากมลทิน” พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน  เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การผิดผัวผิดเมีย การฆาตกรรม การลักขโมย การโลภ ความชั่ว การล่อลวงเขา ราคะตัณหา อิจฉาตาร้อน การหมิ่นประมาท ความเย่อหยิ่ง ความโฉด สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”

ดังนั้นข้อสรุปที่สำคัญในการสรุปที่นี่คือ:

“ สิ่งที่เข้าไปในปากไม่ได้ทำให้คนสกปรก แต่สิ่งที่ออกมาจากหัวใจของคนนั้นทำให้เขาสกปรก”

เพียงคิดสักครู่:

ข้อโต้แย้งทุกวันนี้เหมือนข้อโต้แย้งที่พระเยซูใช้เมื่อ 2,000 ปีก่อน ซึ่งได้ยึดถือกันมาตั้งแต่วันที่พระเจ้าให้พระราชบัญญัติ ดังนั้น  คำถามก็คือ: ทำไมพระองค์จึงให้ธรรมบัญญัติตั้งแต่แรก? 

ดูมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยในเมื่อพระองค์ให้พระราชบัญญัติซึ่งทุกคนต้องปฎิบัติตามหลังจากนั้นก็ยกเลิกพระราชบัญญัตินั้น  ซึ่งได้ใช้กันมานานแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเจ้าให้พระราชบัญญัตินั้นกับโมเสสที่ภูเขาซีนาย!

ทุกคนที่เชื่อในพระคัมภีร์เป็นคริสเตียนที่ซื่อสัตย์และจริงใจต่อตนเอง ควรมีคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เราถูกสอนโดยหลักคำสอนของคริสตจักรเกี่ยวกับเรื่องนี้!

และอีกอย่างพระเยซูไม่สามารถยกเลิกพระบัญญัติอาหารที่ให้เราในเลวีนิติ 11 นั้นได้เพราะถ้าพระองค์ทำ พระองค์ก็ทำผิดพระราชบัญญติ และดังนั้นก็ไม่สามารถทำให้พระราชบัญญัติสมบูรณ์ได้ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อในพระคัมภีร์ คริสเตียนทุกคนเห็นด้วยกับพระองค์ ! เราสามารถอ่านได้ใน:

ฉธบ 4:2 ท่านทั้งหลายอย่าเสริมเติมคำที่ข้าพเจ้าได้บัญชาท่านไว้และอย่าตัดออก เพื่อท่านทั้งหลายจะรักษาพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่าน

และใน

ฉธบ 12:32 ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านไว้นั้น จงระวังที่จะกระทำตาม ท่านอย่าเพิ่มอะไรเข้าหรือตัดอะไรออกไปจากสิ่งเหล่านั้น”

ดังนั้นถ้าพระเยซูปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอย่างสมบูรณ์นี้ก็หมายความว่าพระองค์ไม่ได้ยกเลิกพระบัญญัติข้อใดๆ เลย ซึ่งบางอย่างพระองค์พยายามทำให้มันชัดเจนยิ่งขึ้นใน มัทธิว 5:17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะทำลายพระราชบัญญัติหรือคำของศาสดาพยากรณ์เสีย เรามิได้มาเพื่อจะทำลาย แต่มาเพื่อจะให้สำเร็จ

เรามีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งที่อ้างถึงเหตุการณ์เดียวกันและเน้นให้เห็นว่าบริบทที่แท้จริงในมาระโก 7: 1-23 เราพบเรื่องราวเดียวกันในมัทธิว 15: 16-20:

มัทธิว 15:16-20 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่เข้าใจด้วยหรือ ท่านยังไม่เข้าใจหรือว่า สิ่งใดๆซึ่งเข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป
แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน ความคิดชั่วร้าย การฆาตกรรม การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การพูดหมิ่นประมาท ก็ออกมาจากใจ สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่ซึ่งจะรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมือก่อน ไม่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”

ดังนั้นเมื่อเราอ่านข้อความ “ที่พระองค์ประกาศว่าอาหารทั้งหมดสะอาด” พระองค์เพียงแค่พูดว่าการไม่ล้างมือหรือไม่ทำตามบัญญัติของมนุษย์จะไม่ทำให้อาหารที่สะอาดนั้นสกปรก! แทนที่จะทำให้พระบัญญัติของพระเจ้าเป็นโมฆะหรือทำให้พระวจนะของพระเจ้าว่างเปล่า แต่พระเยซูทำให้บัญญัติของมนุษย์ต่างหากที่ถือเป็นโมฆะ!(คือถูกยกเลิก)

กิจการ 10:15 นิมิตของเปโตร

กิจการ 10:15 แล้วจึงมีพระสุรเสียงอีกเป็นครั้งที่สองว่าแก่ท่านว่า “ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้ว อย่าว่าเป็นของต้องห้าม”

ข้อความนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าให้นิมิตกับเปโตรมีผืนผ้าขนาดใหญ่แขวนอยู่ที่สี่มุมและภายในมีสัตว์ทุกชนิดทั้งสัตว์สะอาดและไม่สะอาดแล้วสั่งให้เปโตรฆ่าสัตว์เหล่านั้นกินเป็นอาหาร เมื่อเราอ่านข้อนี้ก่อนอื่นเราสังเกตเห็นว่ามีการปฏิเสธอย่างแรงกล้าของเปโตรต่อสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้เขาทำคืออะไรให้เราอ่าน:

วันรุ่งขึ้นคนเหล่านั้นกำลังเดินทางไปใกล้เมืองยัฟฟาแล้ว ประมาณเวลาเที่ยงวันเปโตรก็ขึ้นไปบนหลังคาบ้านเพื่อจะอธิษฐาน ก็หิวอยากจะรับประทานอาหาร แต่ในระหว่างที่เขายังจัดอาหารอยู่ เปโตรได้เคลิ้มไป และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีภาชนะอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ผูกติดกันทั้งสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก ในนั้นมีสัตว์ทุกอย่างที่อยู่บนแผ่นดิน คือสัตว์สี่เท้า สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลานและนกที่อยู่ในท้องฟ้า มีพระสุรเสียงมาว่าแก่ท่านว่า “เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด” ฝ่ายเปโตรจึงทูลว่า “มิได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งซึ่งเป็นของต้องห้ามหรือของมลทินนั้น ข้าพระองค์ไม่เคยได้รับประทานเลย” แล้วจึงมีพระสุรเสียงอีกเป็นครั้งที่สองว่าแก่ท่านว่า “ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้ว อย่าว่าเป็นของต้องห้าม”เห็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งนั้นก็ถูกรับขึ้นไปอีกในท้องฟ้า เมื่อเปโตรยังคิดสงสัยเรื่องนิมิตที่เห็นนั้นว่ามีความหมายอย่างไร ดูเถิด คนที่โครเนลิอัสใช้ไปนั้น เมื่อถามหาและพบบ้านของซีโมนแล้วก็มายืนอยู่หน้าประตูรั้ว

เปโตรตอบว่า  “มิได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งซึ่งเป็นของต้องห้าม (สามัญ) หรือของมลทินนั้น จากที่เรารู้สัตว์ที่แสดงให้เห็นโดยการบอกของเปโตรนั้นว่าเพราะข้าพระองค์ไม่เคยรับประทานกินอะไรที่เป็นของสามัญหรือไม่สะอาด แต่คำถามสำคัญที่เราต้องถามคือ ทำไมเปโตรปฏิเสธอย่างแรงกล้าในคำสั่งโดยตรงจากพระเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของมาระโก 7:19? (เพราะว่าสิ่งนั้นมิได้เข้าในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป ทำให้อาหารทุกอย่างปราศจากมลทิน”)

ถ้าพระเยซูอธิบายชัดเจนต่อเหล่าสาวกในมาระโก 7:19 ว่าตั้งแต่นี้ต่อไปสัตว์ทุกชนิดได้รับการพิจารณาว่าสะอาดแล้วทำไมเปโตรปฏิเสธที่จะเชื่อฟัง!

คำอธิบายเดียวคือพระเยซูไม่เคยบอกสิ่งนี้ในมาระโก 7:19 แต่สิ่งนี่ถูกบอกนั้นมาจาก หลักคำสอนของคริสตจักรและไม่มีรากฐานทางพระคัมภีร์เลย!

การตอบสนองของเปโตรแสดงให้เราเห็นอีกสองสิ่ง:

  1. เขายังคงรักษาบัญญัติเรื่องอาหารตามที่เราได้รับในเลวีนิติ 11 แม้หลังจากที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์และวันเพนเทคอร์ส
  2. และเขาปฏิเสธที่จะฝ่าฝืนพระราชบัญญัติของพระเจ้าแม้เมื่อพระเจ้าสั่งให้เขาทำเช่นนั้น โดยเขากลับมาพิจารณานิมิตนั้นแทนที่ ว่ามันหมายถึงอะไร

หลักคำสอนของคริสเตียนในทุกวันนี้จะใช้คำว่า “อย่าเรียกสิ่งใดๆ ว่าไม่บริสุทธิ์พระเจ้าทำให้สะอาด” เป็นข้อถกเถียงที่ว่าพระเจ้าประกาศว่าสัตว์ที่ไม่สะอาดนั้นเป็นสะอาดกินได้ทั้งหมดแต่นั่นมันใช่ในกรณีนี้หรือไม่? คงไม่ใช่แน่

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วเปโตรก็สงสัยว่าความหมายของนิมิตคืออะไรและถ้าเราอ่านต่อไปเราจะพบว่าพระเจ้าเปิดเผยต่อเปโตรว่านิมิตนั้นหมายถึงอะไร!

กิจการ 10:25-29 ครั้นเปโตรเข้าไป โครเนลิอัสก็ต้อนรับเปโตร และหมอบที่เท้ากราบไหว้ท่าน ฝ่ายเปโตรจึงจับตัวโครเนลิอัสให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “จงยืนขึ้นเถิด ข้าพเจ้าก็เป็นแต่มนุษย์เหมือนกัน” เมื่อกำลังสนทนากันอยู่ เปโตรจึงเข้าไปแลเห็นคนเป็นอันมากมาพร้อมกัน จึงกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า คนชาติยิวนั้นจะคบให้สนิทกับคนต่างชาติหรือเข้าเยี่ยมก็เป็นที่พระราชบัญญัติห้ามไว้ แต่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้ามหรือมลทิน  เหตุฉะนั้น เมื่อท่านใช้คนไปเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มาโดยไม่ขัด ข้าพเจ้าจึงขอถามว่าท่านเรียกข้าพเจ้ามาด้วยประสงค์อะไร”

อย่างที่เราพูดเสมอบริบทคือทุกสิ่ง พระเจ้าแสดงให้เปโตรเห็นว่าเขาไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้ามหรือมลทิน  ดังนั้นพระเจ้าไม่ได้ประกาศสัตว์ที่ไม่สะอาด แต่พระองค์ต้องการสอนบทเรียนให้กับเปโตรว่าอย่าเรียกคนทั่วไปว่าไม่สะอาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนนั้นกำลังแสวงหาพระเจ้า ผมเชื่อว่าพระเจ้ากำลังทดสอบเปโตรตามแบบทดสอบที่พระองค์มอบให้กับอิสราเอลในเฉลยธรรมบัญญัติ 13 (ดูการทดสอบเฉลยธรรมบัญญัติ 13 ในบทความของผม “อ่านคัมภีร์ในบริบทอย่างเหมาะสม

มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทราบว่าเมื่อเปโตรกล่าวว่า “เป็นเรื่องผิดพระราชบัญญัติสำหรับชาวยิวที่จะคบหาสมาคมหรือเยี่ยมเยียนคนชาติอื่น (คนต่างชาติ)” ว่าเขาไม่ได้อ้างถึงพระราชบัญญัติของพระเจ้า แต่เป็นบัญญติของมนุษย์(บัญญัติปากเปล่า)เราจะไม่พบที่ไหนในคัมภีร์ที่บอกว่าคนต่างชาติจะต้องถือว่าเป็นคนมีมลทินหรือไม่สะอาด ตรงกันข้ามพระบัญญัติระบุว่าคนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิวควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในพวกเขาเอง ให้เราอ่าน:

เลวีนิติ 19:33-35 เมื่อคนต่างด้าวอาศัยอยู่กับเจ้าในแผ่นดินของเจ้า อย่าข่มเหงเขา คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่กับเจ้านั้นก็เหมือนกับชาวเมืองของเจ้า เจ้าจงรักเขาเหมือนกับรักตัวเอง เพราะว่าเจ้าเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์ เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เจ้าอย่ากระทำผิดในการพิพากษา ในการวัดยาว หรือชั่งน้ำหนักหรือนับจำนวน

กันดารวิถี 15:14-16 ถ้าคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่กับเจ้า หรือคนหนึ่งคนใดท่ามกลางเจ้าตลอดชั่วอายุของเจ้าจะใคร่ถวายเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเยโฮวาห์ ก็ให้เขาทั้งหลายกระทำเหมือนเจ้าทั้งหลายได้กระทำนั้น 15 จะต้องมีกฎอย่างเดียวกันสำหรับชุมนุมชนและสำหรับคนต่างด้าวผู้มาอาศัยอยู่กับเจ้า เป็นกฎถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้า คือเจ้าเป็นอย่างใด คนต่างด้าวก็เป็นอย่างนั้นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ จะต้องมีพระราชบัญญัติอย่างเดียวกันและลักษณะอย่างเดียวกันสำหรับเจ้าและสำหรับคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่กับเจ้า”

อีกครั้งการอ่านพระคัมภีร์เพียงข้อเดียวในบริบท เราอาจเข้าใจชัดเจนว่าพระคัมภีร์พยายามสอนเราอะไรโดยเฉพาะถ้าเราตีความในพระคัมภีร์ในตัวของมันเองเพียงข้อเดียว มันสามารถนำข้อความออกจากบริบทและทำให้เกิดการขัดแย้งในเนื้อหาได้ (บริบท – ข้อความ = กลลวง)!

โรม 14

โดยทั่วไปทั้งหมดในบทเกี่ยวกับอาหารและบอกเราว่าอย่าตัดสินคนอื่นเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากินหรือไม่กิน นอกจากนี้ยังบอกเราว่าอย่ากินหรือดื่มอะไรที่อาจทำให้คนอื่นสะดุดถึงแม้ว่าคุณจะเชื่อว่ามันไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง ก่อนที่เราจะเริ่มอ่านบทนี้ ที่ละข้อ ๆ เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทราบว่าเปาโลไม่เคยอ้างถึงคำว่า สะบาโตสักเลยสักครั้งเดียวในบทนี้ของจดหมายทั้งหมดถึงชาวโรมัน! เนื่องจากเป็นจดหมายเราต้องพิจารณาเนื้อหาทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจบริบทที่เหมาะสม

เรามาเริ่มด้วยการแบ่งเป็นที่ละข้อ ข้อข้อแรกเป็นกุญแจสำคัญในบททั้งหมด!

โรม 14:1 ส่วนคนที่ยังอ่อนในความเชื่อนั้น จงรับเขาไว้ แต่มิใช่เพื่อให้โต้เถียงกันในเรื่องความเชื่อที่แตกต่างกันนั้น

เปาโลเริ่มต้นบทนี้เพื่อแสดงว่าเขาจะพูดถึงความคิดเห็นประเด็นที่โต้แย้งได้ คำจำกัดความของการโต้แย้งคือ; ไม่เป็นที่ยอมรับและเปิดให้มีคำถามหรือการอภิปราย ดังนั้นเรากำลังพูดถึงความรู้สึกคิดเห็นส่วนตัวและไม่ใช่เป้าหมาย!

พระบัญญัติของพระเจ้าไม่ได้เป็นการแสดงความคิดส่วนตัว ข้อเหล่านั้นมีวัตถุประสงค์และใช้เพื่อพิจารณาการตัดสินผู้อื่นด้วย! เราอ่านในจดหมายฉบับเดียวกันใน (โรม 2:27) ว่าเปาโลบอกชาวยิวที่เข้าสุหนัตทางร่างกาย แต่ไม่ได้รักษาพระราชบัญญัติ ซึ่งพวกเขาจะถูกตัดสินโดยคนต่างชาติที่รักษาพระราชบัญญัติเดียวกันกับยิว! คุณไม่สามารถตัดสินใครบางคนในเรื่องที่โต้แย้งโดยแสดงความคิดเห็นส่วนตัว นั่นคือสิ่งที่เปาโลพยายามอธิบายให้ชัดเจนในบทนี้ ในทางกลับกันเราได้รับการสอนว่าเราต้องตัดสินคนอื่นตามที่พระราชบัญญัติกำหนด

เมื่อพูดถึงพระราชบัญญัติของพระเจ้าเราอ่าน:

โรม 2:27 และคนทั้งหลายที่ไม่เข้าสุหนัตซึ่งเป็นตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ประพฤติตามพระราชบัญญัติ เขาจะปรับโทษท่านผู้มีประมวลพระราชบัญญัติและได้เข้าสุหนัตแล้ว แต่ยังละเมิดพระราชบัญญัตินั้น

1โครินธ์ 5:12 ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะไปตัดสินลงโทษคนภายนอก ท่านจะต้องตัดสินลงโทษคนภายในคริสตจักรมิใช่หรือ?

ลูกา 17:3 จงระวังตัวให้ดี ถ้าพี่น้องทำการละเมิดต่อท่าน จงเตือนเขา และถ้าเขากลับใจแล้ว จงยกโทษให้เขา

1 ทิโมธี 5:20 สำหรับผู้ปกครองที่ยังคงกระทำบาป จงว่ากล่าวเขาต่อหน้าคนทั้งปวง เพื่อผู้อื่นจะได้เกรงกลัวด้วย

ยอห์น 7:24 อย่าตัดสินตามที่เห็นภายนอก แต่จงตัดสินตามชอบธรรมเถิด”

ยอห์น 7:51 “พระราชบัญญัติของเราตัดสินคนใดโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาก่อน และรู้ว่าเขาได้ทำอะไรบ้างหรือ”

เศคาริยาห์ 8:16 ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่เจ้าทั้งหลายพึงกระทำ จงต่างคนต่างพูดความจริงกับเพื่อนบ้าน จงให้การพิพากษาที่ประตูเมืองของเจ้าเป็นตามความจริงและกระทำเพื่อสันติ

ดังนั้นหากบททั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องโต้แย้งหรือเรื่องของความเห็นและเราถูกขอให้ไม่ตัดสินคนอ่อนแอเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ในขณะที่คัมภีร์สอนให้เราตัดสินพี่น้องของเราเมื่อพูดถึงการทำผิดพระราชบัญญัติของพระเจ้า ว่าที่เราจะสรุปได้ว่า:

  1. ทั้งหมดในบทไม่ได้พูดถึงพระราชบัญญัติของพระเจ้า
  2. แต่เป็นเพียงการพูดถึงความเชื่อส่วนตัวความคิดเห็นหรือบัญญัติของมนุษย์ ( บัญญัติปากเปล่า)เป็นสิ่งที่เราไม่ควรตัดสินคนอื่นตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่ขัดแย้งกับพระราชบัญญัติของพระเจ้า

ตอนนี้เรายอมรับแล้วว่าบทนี้ไม่ได้อ้างถึงพระบัญญัติของพระเจ้าให้เราดำเนินการต่อไปด้วยข้อที่สำคัญที่ถูกนำออกมาจากบริบท อันแรกคือข้อ 5 ซึ่งใช้บอกว่าเราสามารถนมัสการพระเจ้าได้ทุกวันที่เราชอบ ความจริงไม่เกี่ยวกับกรณีนี้เลยเช่นกัน ให้เราอ่าน:

โรม 14:5-6 คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งดีกว่าอีกวันหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งถือว่าทุกวันเหมือนกัน ขอให้ทุกคนมีความแน่ใจในความคิดเห็นของตนเถิด ผู้ที่ถือวันก็ถือเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และผู้ที่ไม่ถือวันก็ไม่ถือเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่กินก็กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาขอบพระคุณพระเจ้า และผู้ที่มิได้กินก็มิได้กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และยังขอบพระคุณพระเจ้า

สิ่งแรกที่เราสังเกตเห็นคือการอ้างอิงถึงสิ่งที่ “คนหนึ่งถือว่า” สิ่งที่มนุษย์พิจารณาว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์นั้นยังเป็นปัญหาอยู่ ถ้าตราบใดที่มันไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้เราทำ ดังที่เปโตรและอัครสาวกคนอื่น ๆ กล่าว “ข้าพเจ้าทั้งหลายจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ (กิจการ 5:29).

ดังนั้นวันบริสุทธิ์เหล่านี้หมายถึงอะไรและเป็นวันอะไร? เราอ่านสิ่งนี้ในตอนท้ายของ โรม14:6

ผู้ที่กินเนื้อ (เนื้อสัตว์สะอาดในพระคัมภีร์) ก็กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาขอบพระคุณพระเจ้า และผู้ที่มิได้กินก็มิได้กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และยังขอบพระคุณพระเจ้า

การงดอาหารเป็นคำจำกัดความของการอดอาหารซึ่งทำให้มีเหตุผลมากขึ้นว่าบททั้งหมดเกี่ยวกับอาหาร ดังนั้นมันเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับวันอดอาหารหรือวันที่ไม่อดอาหาร? เหตุผลนี้สามารถพบได้ในลูกา 18:12

ลูกา 18:11-12 คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตนอธิษฐานว่า `ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่นซึ่งเป็นคนฉ้อโกง คนอธรรม และคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ในสัปดาห์หนึ่งข้าพระองค์ถืออดอาหารสองหน และของสารพัดซึ่งข้าพระองค์หาได้ ข้าพระองค์ได้เอาสิบชักหนึ่งมาถวาย’

พวกฟาริสีกระตือรือร้นที่จะประกาศให้โลกรู้ว่าพวกเขาถือศีลอดอาหารสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุวันที่พวกเขาอดอาหาร จากการเขียนอื่น ๆ ในสมัยนั้นน่าจะเป็นวันที่สองและห้าของสัปดาห์และคริสเตียนได้รับการสนับสนุนไม่ให้ถือวันนั้นเหมือนกับคนหน้าซื่อใจคดอย่างพวกฟาริสี เราพบสิ่งนี้ในงานเขียนศตวรรษแรก ” เดอะ ดิเดค The Didache – บทที่ 8″

เดอะ ดิเดค The Didache (คำสอนของอัครสาวก – เขียนในศตวรรษแรก), บทที่ 8:
“ แต่อย่าให้การอดอาหารของท่านเช่นเดียวกับคนหน้าซื่อใจคดเพราะเขาถือศีลอดอาหารในวันที่สองและห้าของสัปดาห์ แทนที่จะถือศีลอดอหารในวันที่สี่และวันเตรียม” (วันพุธและวันศุกร์)
(http://www.earlychristianwritings.com/text/didache-roberts.html)

สังเกตว่าวันศุกร์กล่าวถึงที่นี่เป็นวัน จัดเตรียม หากวันสะบาโตไม่ได้เป็นวันหยุดพักของพระเจ้ามีไว้สำหรับเราอีกต่อไปตามหลักคำสอนของคริสตจักรก็อาจมีข้อสงสัยว่าแล้วพวกเขาเตรียมอะไรในวันนั้น อย่างไรก็ตามในบริบทนี้แสดงเหตุผลที่ดีว่ามันเป็นการโต้แย้งกันเกี่ยวกับวันถือศีลอดอาหารหรือไม่ถือศีลอดอาหารและจะอธิบายสิ่งนี้ได้ดีกว่าใน โรม 14:5-6 คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งดีกว่าอีกวันหนึ่ง……ผู้ที่ถือวันก็ถือเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า… ผู้ที่กินก็กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า…..

ข้อเท็จจริงที่ว่านี้คือหลักคำสอนของคริสตจักรพยายามเอาวันสะบาโตมาลงในเนื้อหานี้ ดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยและแสดงให้เห็นอีกว่าพวกเขาพยายามใช้ข้อพระคัมภีร์เพียงข้อเดียวเพื่อเป็นข้ออ้างสำหรับหลักคำสอนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนในพระคัมภีร์ เพื่อยกระดับสิ่งที่มนุษย์คิดว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์ในระดับเดียวกับสิ่งที่พระเจ้าเรียกว่าบริสุทธิ์นั้น ดูไม่น่าเชื่อถือเลย!

อีกข้อที่ใช้ในทำนองเดียวกันกับมาระโก 7:19 คือโรม 14:14

โรม 14:14 ข้าพเจ้ารู้และปลงใจเชื่อเป็นแน่ในองค์พระเยซูเจ้าว่า ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นมลทินในตัวเองเลย แต่ถ้าผู้ใดถือว่าสิ่งใดเป็นมลทิน สิ่งนั้นก็เป็นมลทินสำหรับคนนั้น

เปาโลจัดประเภทอาหารในแบบเดียวกับที่พระเยซูทรงทำซึ่งขึ้นอยู่กับสิ่งที่กำหนดไว้ในพระคัมภีร์ คล้ายกับสิ่งที่เราเห็นในมาระโกบทที่ 7 เราเห็นแล้วว่าบทนี้เกี่ยวกับความคิดเห็นส่วนตัวหรือเรื่องโต้แย้งเนื่องจากบางคนอาจมีความเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สะอาดเพราะ:

  • คนที่ไม่ล้างมือของพวกเขาคล้ายกับมาระโก 7
  • อาหารที่มาจากตลาดและอาจเป็นอาหารที่ถวายแก่รูปเคารพ (เนื้อสัตว์ที่ถวายแก่รูปเคารพแล้วมีขายที่ตลาดในยุคนั้น)
  • ไม่ได้ทำความสะอาดหม้อหรือจานที่บรรจุอาหารตามวิธีการโดยเฉพาะ
  • พวกเขาไม่ได้อธิษฐานก่อนกินอาหาร
  • ฯลฯ …

ดังนั้นเราเห็นเหตุผลส่วนตัวหลายประการว่าทำไมคนคนหนึ่งอาจพิจารณาสิ่งที่ไม่สะอาดและสิ่งที่เปาโลพยายามสอนเราที่นี่คือการยอมรับบุคคลนั้นและไม่ตัดสินพวกเขา เขายังบอกเราด้วยว่าเป็นการดีกว่าที่จะไม่กินหรือดื่มอะไรถ้ามันจะทำให้คนอื่นสะดุด:

โรม 14:19-23 เหตุฉะนั้นให้เรามุ่งประพฤติในสิ่งซึ่งทำให้เกิดความสงบสุขแก่กันและกัน และสิ่งเหล่านั้นซึ่งทำให้เกิดความเจริญแก่กันและกัน
อย่าทำลายงานของพระเจ้าเพราะเรื่องอาหารเลย ทุกสิ่งทุกอย่างปราศจากมลทินก็จริง แต่ผู้ใดที่กินอาหารซึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นหลงผิด ก็มีความผิดด้วย เป็นการดีที่จะไม่กินเนื้อสัตว์หรือดื่มน้ำองุ่นหรือทำสิ่งใดๆที่เป็นเหตุให้พี่น้องสะดุด หรือสะดุดใจหรือทำให้อ่อนกำลัง ท่านมีความเชื่อหรือ จงยึดไว้ให้มั่นต่อพระพักตร์พระเจ้า ผู้ใดไม่มีเหตุที่จะติเตียนตัวเองในสิ่งที่ตนเห็นชอบแล้วนั้นก็เป็นสุข แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขากินก็จะถูกลงพระอาชญา เพราะเขามิได้กินด้วยความเชื่อ ทั้งนี้เพราะการกระทำใดๆก็ตามที่มิได้กระทำด้วยความเชื่อก็เป็นบาปทั้งสิ้น

สรุป

เรื่องการกินอาหารไม่ล้างมือถือเป็นมลทินเป็นความคิดเห็นส่วนตัวไม่มีเกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติแต่เกี่ยวกับบัญญัติมนุษย์(บัญญัติปากเปล่า) และเรื่องสัตว์ไม่สะอาดในนิมิตของเปโตรไม่เกี่ยวกับเรื่องอาหารแต่เกี่ยวข้องกับการไม่ให้ถือคนที่ไม่ใช่ยิวว่าเป็นมลทินต้องเปิดโอกาสให้คนต่างชาติเชื่อในพระเจ้าได้รับความรอดเช่นเดียวกับยิว ส่วนเรื่องวันบริสุทธ์หรือวันสะบาโตไม่ได้กล่าวถึงในบริบทเหล่านี้ ที่เกี่ยวข้องคือเรื่องของวันที่ถือศีลอดอาหารที่แตกต่างวันกัน          รวมทั้งการกินเนื้อหรือกินเจของผู้มีความเชื่อที่แตกต่างกัน อย่าตัดสินคนอื่นเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากินหรือไม่กิน ถ้าไม่ผิดต่อพระราชบัญญัติของพระเจ้าก็ควรยอมรับกันไว้ หรือถ้าการกินและดื่มอาจเป็นสาเหตุให้ผู้เชื่อคนอื่นสดุดได้ ก็ไม่ควรกินหรือดื่มก็จะดีกว่า รวมถึงเรื่องการตัดสินกันด้วยความชอบธรรมว่าเราต้องตัดสินผู้เชื่ออื่นที่ทำผิดต่อพระราชบัญญัติของพระเจ้าอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยเขาที่จะคงอยู่ในความเชื่อ

ด้วยการใช้ 3 ข้อเราเห็นว่าโดยกระแสหลักคริสตจักรพยายามสร้างหลักคำสอนที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบริบทของพระคัมภีร์!

  1. มาระโก 7:19 เพราะว่าสิ่งนั้นมิได้เข้าในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป ทำให้อาหารทุกอย่างปราศจากมลทิน”(ในการพูดแบบนี้ พระเยซูทรงประกาศว่าอาหารทั้งหมด”สะอาด”)
  2. กิจการ 10:15 แล้วจึงมีพระสุรเสียงอีกเป็นครั้งที่สองว่าแก่ท่านว่า “ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้ว อย่าว่าเป็นของต้องห้าม”
  3. โรม 14:14 ข้าพเจ้ารู้และปลงใจเชื่อเป็นแน่ในองค์พระเยซูเจ้าว่า ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นมลทินในตัวเองเลย แต่ถ้าผู้ใดถือว่าสิ่งใดเป็นมลทิน สิ่งนั้นก็เป็นมลทินสำหรับคนนั้น

ด้วยการเพิกเฉยจากบริบทของข้อเหล่านี้ทำให้เราหลงเชื่อว่าทุกวันนี้เราสามารถกินอะไรก็ได้ที่เราชอบ พระเยซูไม่ได้ยกเลิกพระบัญญัติที่ให้ไว้กับเราในเลวีนิติ 11 และเมื่ออ่านข้อเหล่านี้ภายในบริบทที่เหมาะสมเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีข้อใดสนับสนุนหลักคำสอนนี้ที่ส่วนใหญ่เป็นคริสตจักรที่สอนเราทุกวันนี้

เราพบว่ามีการตำหนิอย่างมากเกี่ยวกับการสอนประเภทนี้ในพันธสัญญาเดิม:

เอเศเคียล 22:26-27 ปุโรหิตของเขาได้ละเมิดราชบัญญัติของเรา และได้ลบหลู่สิ่งบริสุทธิ์ของเรา เขามิได้แยกแยะความแตกต่างระหว่างสิ่งที่บริสุทธิ์และสิ่งสามัญ เขามิได้แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างของมลทินและของสะอาด เขาได้ซ่อนนัยน์ตาของเขาไว้จากวันสะบาโตของเรา ดังนั้นแหละเราจึงถูกลบหลู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย  เจ้านายในท่ามกลางแผ่นดินเป็นเหมือนสุนัขป่าที่ฉีกเหยื่อ ทำให้โลหิตตก ทำลายชีวิตเพื่อจะเอากำไรที่อสัตย์

ดูเหมือนว่าพระเจ้ามีเหตุผลที่ดีมาก ว่าทำไมพระองค์บอกเราห้ามกินอะไรที่พระองค์ตรัสว่าไม่สะอาด ยิ่งไปกว่านี้ตอนนี้มีการระบาดของโควิด-19 เราควรคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้! ผมเองเชื่อว่า โควิด-19, โรคซาร์ส ไข้หวัดหมู จะไม่เกิดขึ้นถ้าคนเรายึดรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าเรื่องสัตว์สะอาดไม่สะอาด

ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณ:

  • รักษาสิ่งที่พระเจ้าประกาศบริสุทธิ์และสะอาด ให้เป็นสิ่งบริสุทธิ์และสะอาด
  • แยกแยะระหว่างสิ่งบริสุทธิ์และสิ่งสามัญและสิ่งที่สะอาดและไม่สะอาด

ขอให้พระเจ้าอวยพรท่านและอย่าลืมทดสอบทุกอย่าง!

 

อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะทำลายพระราชบัญญัติ

09 เม.ย. 20
Sunete
No Comments

อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะทำลายพระราชบัญญัติหรือคำของศาสดาพยากรณ์เสีย เรามิได้มาเพื่อจะทำลาย แต่มาเพื่อจะให้สำเร็จ เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถึงฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรหนึ่งหรือจุดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากพระราชบัญญัติ จนกว่าจะสำเร็จทั้งสิ้น เหตุฉะนั้น ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในพระบัญญัตินี้เบาลง ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่า เป็นผู้น้อยที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ใดที่ประพฤติและสอนตามพระบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่า เป็นใหญ่ในอาณาจักรแห่งสวรรค์  เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ (มัทธิว 5:17-20)

“อย่าคิดว่า” เป็นคำแรกที่ใช้ที่นี่และพระเยซูกล่าวต่อไปว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย“! แม้ว่าพระเยซูจะใช้คำพูดที่ชัดเจนและแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้คริสตจักรส่วนใหญ่สอนตรงกันข้ามอย่างเต็มที่ว่า; เพราะพระเยซูได้ทำให้บัญญัติของโมเสสสมบูรณ์แล้ว เราไม่ต้องรักษาพระบัญญัตินั้นอีกต่อไป

หนึ่งในปัญหาแรกของเรื่องนี้คือการมุ่งเน้นไปที่การเติมเต็มพระบัญญัติในขณะที่พระเยซูไม่กล่าวถึงแค่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติเท่านั้น พระองค์ไม่ได้มาเพื่อยกเลิกสิ่งเหล่านั้น แต่ทำตาม (plēroō – สั่งสอนอย่างเต็มที่) ในสิ่งเหล่านั้น ‘เหล่านั้น’ หมายถึงทั้งพระราชบัญญัติและคำศาสดาพยากรณ์

คำว่า ‘เติมเต็ม’ แปลนี้โดยคริสตจักรหมายความว่า  ‘สิ้นสุด’ หรือ ‘เสร็จสิ้น’ เช่นเมื่อคุณดื่มกาแฟเสร็จแล้วไม่จำเป็นต้องดื่มอีกต่อไป แต่สิ่งนี้จะไม่ตรงกันข้ามกับการยกเลิกวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนภายในบริบทจะเป็นการดีถ้าคุณทำความเข้าใจกับสิ่งที่มีความหมายกับคำว่า เติมเต็ม

เติมเต็ม

เมื่อดูที่ความหมายรากศัพท์ของคำเติมเต็มเราจะเห็นว่ามีการใช้คำภาษากรีก plēroō

πληρόω | plēroō | play-ro’-o
คำจำกัดความของ Thayer :
1) เพื่อทำให้เต็ม เพื่อเติม เช่นเติมให้เต็ม
2) เพื่อให้เต็ม เช่น ทำให้เสร็จสมบูรณ์

พจนานุกรมพระคัมภีร์ (Strong ):
จาก G4134; ที่จะทำให้สมบูรณ์นั่นคือ (ตัวอักษร) เพื่ออัด (ตาข่าย), ยกระดับ (โพรง) หรือ (เปรียบเปรย) ให้แก่ (หรือฝังลึกกระจายอิทธิพล) สร้างความพึงพอใจดำเนินการ (สำนักงาน) เสร็จสิ้น (a) รอบระยะเวลาหรือภารกิจ) ตรวจสอบ (หรือตรงกับการทำนาย) ฯลฯ : – สำเร็จ X หลัง (เป็น) เสร็จสิ้นสิ้นหมดอายุเติม (ขึ้น) เติมเต็ม (เป็น) ทำเต็ม (มา) เต็ม สั่งสอน, สมบูรณ์, อุปทาน

คำว่าplēroōอาจหมายถึง ‘สิ้นสุด’, ‘หมดอายุ’ หรือเสร็จสิ้น แต่ให้ดูที่บริบทและลองใช้คำเหล่านั้นภายในข้อ:

  • เรามิได้มาเพื่อจะทำยกเลิกพระราชบัญญัติหรือคำพยาการณ์แต่มาเพื่อทำให้จบสิ้น
  • เรามิได้มาเพื่อจะยกเลิกพระราชบัญญัติหรือคำพยาการณ์ แต่มาเพื่อทำให้หมดอายุ
  • เรามิได้มาเพื่อจะยกเลิกพระราชบัญญัติหรือคำพยาการณ์แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จ

เหล่านี้ทั้งหมดไม่มีเหตุผลเพราะบริบทพยายามชี้ให้เห็นตรงกันข้ามกับ ‘ยกเลิก’ และ ‘สิ้นสุด’, ‘หมดอายุ’ หรือ ‘เสร็จสิ้นไม่ตรงข้ามกับ’ยกเลิก ‘พวกเขามีความหมายคล้ายกันมาก แบบที่ดีกว่าคือ ‘สั่งสอนอย่างเต็มที่’ หรือ ‘สมบูรณ์แบบ’

  • เราไม่ได้มาเพื่อยกเลิกพระราชบัญญัติหรือคำพยาการณ์แต่มาสอนอย่างถี่ถ้วน
  • เราไม่ได้มาเพื่อยกเลิกพระราชบัญญัติหรือคำพยาการณ์แต่มาเพื่อทำให้สมบูรณ์

เราพบคำที่ใช้คล้าย ๆ กันในโรม 15:19:

คือด้วยหมายสำคัญและการมหัศจรรย์อันทรงฤทธิ์ ในฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า จนข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์อย่างถ้วนถี่  (โรม 15:19)

หนึ่งในคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ก็คือเขาจะขยายความพระบัญญัติทำให้มีเกียรติอีกครั้งซึ่งเหมาะกับ “ประกาศอย่างเต็มที่” หรือทำให้ “สมบูรณ์” ในการประกาศ

เพราะเห็นแก่ความชอบธรรมของพระองค์ พระเยโฮวาห์ทรงพอพระทัย ที่จะเชิดชูพระราชบัญญัติและกระทำให้พระราชบัญญัตินั้นมีเกียรติ (อิสยาห์ 42:21 KJV).

ดังนั้นเราสามารถเห็นได้ในบริบทที่ปฏิบัติตามกฎหมายไม่ได้อ้างถึงการจบหรือทำให้กฎหมายสมบูรณ์ แต่มีการเทศนาอย่างเต็มที่ พระเยซูโดยการเทศนากฎหมายเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบสำหรับเราดังนั้นเราจึงเข้าใจวิธีการรักษาและทำตามที่พระเยซูทำ เป็นที่ชัดเจนว่าสาวกของพระเยซูมีความเข้าใจเดียวกันเพราะทุกคนรักษากฎหมายทั้งหมดหลังจากที่พระเยซูไปหาพระบิดาแม้แต่ผู้ที่เล็กที่สุดตามที่พระเยซูทรงสอนเราในตอนนี้ ดูบทความของผม “เราเป็นสาวกของพระคริสต์หรือของคริสตจักรบิดา”

ศาสดาพยากรณ์

ดังกล่าวแล้วพระเยซูไม่เพียงแต่อ้างถึงพระราชบัญญัติ พระองค์พูดเกี่ยวกับการเป็นไปตามคำของศาสดาพยากรณ์ด้วย ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งเรื่องของการอธิษฐานของเรายังคงอธิษฐาน “ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ ” และคำทำนายหลายอย่างยังไม่เกิดขึ้น:

  • ราชอาณาจักรของพระเจ้ายังไม่มาถึง!
  • และพระเยซูยังไม่ได้เสด็จกลับมา
  • เรายังคงคาดหวังวันของพระเจ้า
  • สงครามอาร์มาเกดอนยังไม่ได้เกิดขึ้น
  • สวรรค์และโลกยังคงอยู่ที่นี่และเรายังไม่มีสวรรค์ใหม่โลกใหม่หรือเยรูซาเล็มใหม่

บริบทค่อนข้างชัดเจนว่า “จนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จ” รวมถึงการพยากรณ์ทั้งหมด!

เป็นที่น่าสนใจมากที่พระเยซูกล่าวว่า ถึงฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรหนึ่งหรือจุดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากพระราชบัญญัติ จนกว่าจะสำเร็จทั้งสิ้น:

เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถึงฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรหนึ่งหรือจุดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากพระราชบัญญัติ จนกว่าจะสำเร็จทั้งสิ้น (มัทธิว 5:18)

นี่เป็นหนึ่งในคำพยากรณ์สุดท้ายที่จะเกิดขึ้น (ดูวิวรณ์ 21) ตามด้วยการสร้างสวรรค์ใหม่ โลกใหม่และเยรูซาเล็มใหม่ หลังจากนี้ “ทั้งหมดสำเร็จ”! เราอ่านสิ่งนี้ใน วิวรณ์ 21: 1-6:

ข้าพเจ้าได้เห็นท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปหมดสิ้นแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว ข้าพเจ้าคือยอห์น ได้เห็นเมืองบริสุทธิ์ คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากพระเจ้าและจากสวรรค์ กรุงนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี  ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากสวรรค์ว่า “ดูเถิด พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับเขา เขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ และพระเจ้าเองจะประทับอยู่กับเขา และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว”  พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งตรัสว่า “ดูเถิด เราสร้างสิ่งสารพัดขึ้นใหม่” และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเขียนไว้เถิด เพราะว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำสัตย์จริงและสัตย์ซื่อ”  พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เราเป็นอัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้นดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย (วิวรณ์ 21:1-6)

เรียงลำดับอย่างสมบูรณ์ตามคำทำนายเป็นการยืนยันสิ่งที่พระเยซูตรัส (ดูอิสยาห์ 65: 17-19)

เพื่อแก้ความสับสนให้เราอ่านแบบเดียวกันในลูกา 16:17:

It is easier for heaven and earth to disappear than for the least stroke of a pen to drop out of the Law. (Luk 16:17)

ฟ้าและดินจะล่วงไปก็ง่ายกว่าที่พระราชบัญญัติสักจุดหนึ่งจะขาดตกไป  (ลูกา 16:17)

ผมไม่คิดว่าพระคัมภีร์จะชัดเจนกว่านี้พระเยซูยังสอนเราไม่ให้ทำลายแม้แต่ที่เล็กที่สุดของข้อบัญญัติในข้อ 19:

มัทธิว 5:19  เหตุฉะนั้น ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในพระบัญญัตินี้เบาลง ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่า เป็นผู้น้อยที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ใดที่ประพฤติและสอนตามพระบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่า เป็นใหญ่ในอาณาจักรแห่งสวรรค์

ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้ แต่มีเหตุผลที่น่าสนใจอย่างมากว่าทำไมพระเยซูจึงอ้างถึง “สวรรค์และโลก” โดยคำนึงถึงพระราชบัญญัติ เราพบเหตุผลนี้ได้ใน เฉลยธรรมบัญญัติ 30:19

ข้าพเจ้าขออัญเชิญสวรรค์และโลกให้เป็นพยานต่อท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิตเพื่อท่านและเชื้อสายของท่านจะได้มีชีวิตอยู่ (ฉธบ30:19)

พระเจ้าทรงเรียกสวรรค์และโลกให้เป็นพยานเพื่อให้แน่ใจว่าคนของพระองค์รักษาพระบัญญัติของพระองค์!

วิญญาณของพระบัญญัติ

ดังที่เราเห็นคำว่าการเติมเต็มหมายถึง ‘การสอนพระบัญญัติอย่างสมบูรณ์’ หรือ ‘พระบัญญัติที่สมบูรณ์แบบ’ แม้ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะระบุว่าพระราชบัญญัติของพระองค์นั้นสมบูรณ์ (ดู สดุดี 19: 7) ความเข้าใจในพระบัญญัติโดยชาวยิวในครั้งนั้นไม่ใช่! ดังที่อิสยาห์พยากรณ์ไว้ว่าพระเมสสิยาห์จะขยายความพระราชบัญญัติและทำให้เป็นที่น่ายกย่องอีกครั้งพระเยซูทรงทำอย่างนั้นในมัทธิว5 ข้อ 21 ถึง 48 ข้อเหล่านี้อ้างอิงถึงข้อ 20:

มัทธิว5:20 เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์

หัวข้อทั้งหมดในข้อ 21 ถึง 48 เริ่มต้นด้วยคำว่า” ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า “ซึ่งหมายถึงความเข้าใจที่ชัดเจนว่าชาวยิวมีพระราชบัญญัติในเวลานั้น สังเกตว่าพระเยซูไม่ได้พูดว่า “ตามที่เขียนไว้ว่า” ตามที่พระองค์ทำเมื่ออ้างถึงพระคัมภีร์จริง:

มัทธิว4:4  ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า `มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'”

มัทธิว 4:7 พระเยซูจึงตรัสตอบมันว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า `อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน'”

มัทธิว4:10 พระเยซูจึงตรัสตอบมันว่า “อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า `จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว'”

พระองค์อ้างถึงคำสอนที่พวกเขารู้จักในสมัยนั้นและไม่ใช่ในข้อพระคัมภีร์! นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ควรทราบเพราะพระเยซูต้องรักษาพระบัญญัติอย่างสมบูรณ์เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่สมบูรณ์แบบ โดยการเพิ่มพระบัญญัติใหม่พระองค์จะทำผิดพระราชบัญญัติ (ฉธบ 4: 2, ฉธบ 12:32) ทุกสิ่งที่พระองค์ อ้างถึงในข้อเหล่านี้สามารถย้อนกลับไปที่พันธสัญญาเดิม

ตัวอย่างที่ดีอย่างหนึ่งคือตัวอย่างสุดท้ายเกี่ยวกับ

มัทธิว 5:43  ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า `จงรักเพื่อนบ้าน และเกลียดชังศัตรู’

เราไม่มีคำสั่งให้เกลียดศัตรูในพระคัมภีร์คุณจะไม่พบที่ไหนเลย! ค่อนข้างตรงกันข้ามเมื่อคุณตรวจสอบพันธสัญญาเดิมคุณพบหลายข้อความที่บอกให้เราช่วยศัตรูของเราเมื่อพวกเขาต้องการ

ถ้าเจ้าพบวัวหรือลาของศัตรูหลงมา จงพาไปส่งคืนให้เจ้าของจงได้  ถ้าเห็นลาของผู้ที่เกลียดชังเจ้าล้มลงเพราะบรรทุกของหนัก อย่าได้เมินเฉยเสีย จงช่วยเขายกมันขึ้น (อพยพ 23:4-5).

และ

ถ้าศัตรูของเจ้าหิว จงให้อาหารเขารับประทาน และถ้าเขากระหาย จงให้น้ำเขาดื่ม (สุภาษิต 25:21).

พระเยซูกำลังบอกว่าสำหรับเราที่จะเกินพวกฟาริสีเราต้องใช้วิญญาณของกฎหมายและไม่เพียง แต่จดหมาย ข้อ 21 – 48 กำลังเน้นจิตวิญญาณของกฎหมายตามที่ตั้งใจไว้เสมอ! พระเยซูไม่ได้เพิ่มกฎหมายและใช้คำพูดของพระเยซู “อย่าคิดว่า” เขาลบสิ่งใดออกจากกฎหมาย พระเยซูทรงขยายกฎหมายและทำให้เกียรติอีกครั้ง!

การทดสอบของชาวเบโรอา

ชาวเมืองเบโรอาได้ทดสอบ(กิจการ 17:11) เราเองก็ต้องทดสอบว่าสิ่งที่เราเชื่อนั้นด้วยว่ามันสอดคล้องกับพระคัมภีร์ข้ออื่นในพันธสัญญาเดิมหรือไม่เช่นกัน

ดังนั้น พระคัมภีร์เดิมสนับสนุนสถานอะไร:

  1. พระบัญญัติของโมเสสได้รับการทำให้สำเร็จแล้วดังนั้นจึงไม่มีผลกับเราอีกต่อไป
  2. พระบัญญัติของโมเสสได้รับการทำให้สำเร็จ (ในการสอนอย่างสมบูรณ์ถี่ถ้วน) และยังคงมีผลบังคับใช้กับเราในทุกวันนี้

เมื่อตรวจสอบสิ่งที่พระคัมภีร์เดิมกล่าวไว้เกี่ยวกับตำแหน่งเหล่านี้เราสามารถพบหลายข้อที่นับไม่ถ้วนในพันธสัญญาเดิมที่ระบุว่า “ตลอดชั่วอายุคน” หรือ “ตลอดกาล” เกี่ยวกับพระราชบัญญัติ  บางตัวอย่างเหล่านี้:

อพยพ 31:16-17  เหตุฉะนี้ ชนชาติอิสราเอลจงรักษาวันสะบาโตไว้ คือถือวันสะบาโตตลอดชั่วอายุของเขาเป็นพันธสัญญาเนืองนิตย์  เป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับชนชาติอิสราเอลว่า ในหกวันพระเยโฮวาห์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก แต่ในวันที่เจ็ดพระองค์ได้ทรงงดการงานไว้ และได้ทรงหย่อนพระทัยในวันนั้น'”

อพยพ  31:13“จงสั่งชนชาติอิสราเอลว่า `เจ้าทั้งหลายจงรักษาวันสะบาโตของเราไว้ เพราะนี่จะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับเจ้าตลอดชั่วอายุของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์ ผู้ได้กระทำเจ้าให้บริสุทธิ์

อพยพ 12:14 วันนั้นจะเป็นวันที่ระลึกสำหรับเจ้า ให้เจ้าทั้งหลายถือไว้เป็นเทศกาลแด่พระเยโฮวาห์ตลอดชั่วอายุของเจ้า เจ้าจงฉลองเทศกาลนี้และถือเป็นกฎถาวร

อพยพ 12:17 เจ้าทั้งหลายจงถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เพราะในวันนั้นเราได้นำพลโยธาของเจ้าทั้งหลายออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ เหตุฉะนี้ เจ้าจงฉลองวันนั้นและถือเป็นกฎถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้า 

อพยพ  12:24 ท่านทั้งหลายจงถือพิธีนี้ให้เป็นกฎถาวรของท่านและของลูกหลานท่าน

เลวีนิติ 16:29 ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรแก่เจ้าทั้งหลายว่า ในวันที่สิบเดือนที่เจ็ด เจ้าต้องถ่อมใจลง ไม่กระทำการงานสิ่งใด ทั้งตัวชาวเมืองเองหรือคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้า

เลวีนิติ 16:31 เป็นวันสะบาโตให้เจ้าทั้งหลายหยุดพักสงบ และเจ้าต้องถ่อมใจลง ทั้งนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดไป 

เลวีนิติ 23:21 และในวันเดียวกันนั้น เจ้าจงประกาศว่าเจ้าจงมีการประชุมบริสุทธิ์แก่เจ้า เจ้าอย่าทำงานหนัก ทั้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรทั่วไปในที่อาศัยของเจ้าตลอดชั่วอายุของเจ้า 

เลวีนิติ 23:31 เจ้าอย่าทำงานสิ่งใดเลย ทั้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วอายุของเจ้าทั่วไปในที่อาศัยของเจ้า

2 พงศาวดาร 2:4 ดูเถิด ข้าพเจ้ากำลังจะสร้างพระนิเวศเพื่อพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้า และมอบถวายแด่พระองค์ เพื่อเผาเครื่องหอมต่อพระพักตร์พระองค์ และเพื่อขนมปังหน้าพระพักตร์เนืองนิตย์ และเพื่อเครื่องเผาบูชาทั้งเช้าและเย็น ในวันสะบาโต และในวันข้างขึ้น และวันเทศกาลตามกำหนดของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ซึ่งเป็นกฎตั้งไว้เป็นนิตย์สำหรับอิสราเอล

สดุดี 119:44 ข้าพระองค์จะรักษาพระราชบัญญัติของพระองค์สืบๆไปเป็นนิจกาล

สดุดี 119:159-160 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงพิเคราะห์ว่าข้าพระองค์รักข้อบังคับของพระองค์มากเท่าใด ขอทรงสงวนชีวิตของข้าพระองค์ไว้ตามความเมตตาของพระองค์  ตั้งแต่แรกพระวจนะของพระองค์คือความจริง และคำตัดสินอันชอบธรรมของพระองค์ทุกข้อดำรงอยู่เป็นนิตย์ 

ฉธบ 5:29 โอ อยากให้มีจิตใจเช่นนี้อยู่เสมอไปหนอ คือที่จะยำเกรงเราและรักษาบัญญัติทั้งสิ้นของเรา เขาทั้งหลายก็จะสุขเจริญอยู่ตลอดชั่วลูกหลานของเขาเป็นนิตย์ 

ฉธบ 11:1 “เหตุฉะนี้พวกท่านจงรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน จงรักษาพระดำรัสสั่ง กฎเกณฑ์ และคำตัดสิน และพระบัญญัติของพระองค์เสมอไป 

เลวีนิติ 10:15  เนื้อโคนขาที่ถวายและเนื้ออกที่แกว่งถวายเขาจะนำมาบูชาพร้อมกับเครื่องไขมันที่บูชาด้วยไฟ เพื่อแกว่งเป็นเครื่องบูชาแกว่งถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ สิ่งเหล่านี้เป็นของท่านและบุตรชายทั้งหลายของท่าน ให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงบัญชาไว้”

เมื่อมองหาข้อพระคัมภีร์ที่สนับสนุนสักข้อหนึ่งที่ว่าหลังจากที่พระเมสสิยาห์เสด็จมาพระบัญญัติของโมเสสก็เลิกใช้” เราพบว่า:

ไม่มีอะไรเลย ไม่มีสักข้อเดียว!

หากพระราชบัญญัติของโมเสสจบสิ้นแล้ว และแทนที่ด้วยพระบัยญัติใหม่เราต้องสามารถค้นพบได้ในคำพยากรณ์ข้อใดข้อหนึ่งดังที่ระบุไว้ในอาโมส 3: 7:

แท้จริงองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจะมิได้ทรงกระทำอะไรเลย โดยมิได้เปิดเผยความลึกลับให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ คือผู้พยากรณ์ (อาโมส 3:7)

พันธสัญญาเดิมไม่ได้ยืนยันสถานะของข้อที่ 1 แต่ยืนยันสถานะข้อที่ 2 ว่าพระราชบัญญัติยังคงมีอยู่สำหรับเราในทุกวันนี้

  1. พระบัญญัติของโมเสสได้รับการทำให้สำเร็จแล้วดังนั้นจึงไม่มีผลกับเราอีกต่อไป
  2. พระบัญญัติของโมเสสได้รับการทำให้สำเร็จ (ในการสอนอย่างสมบูรณ์ถี่ถ้วน) และยังคงมีผลบังคับใช้กับเราในทุกวันนี้

ความเข้าใจผิดในคริสตจักรทุกวันนี้

บางคนอาจพูดว่า “แล้วพันธสัญญาใหม่? พันธสัญญาเดิมพูดถึงพันธสัญญาใหม่โดยมีบัญญัติใหม่มาด้วยหรือไม่”

เมื่อคุณอ่าน เยเรมีย์ 31: 31-34 และ เอเศเคียล 36:26 คุณจะพบว่าอะไรเป็นพันธสัญญาใหม่ไม่ใช่พระบัญญัติ  พระบัญญัติ (tôrâh H8451 ตามที่กล่าวไว้ในข้อ) เหมือนกัน

ในพันธสัญญาใหม่พระเจ้าจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเรา และพระองค์จะทรงบรรจุพระราชบัญญัติของพระองค์(tôrâh) ไว้ภายในหัวใจและจิตใจของพวกเราและพระองค์จะให้วิญญาณของพระองค์ช่วยเรา เพื่อให้เราสามารรถรักษาพระราชบัญญัติของพระองค์แทนที่เราจะทำลายมัน

เป็นความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงในคริสตจักรทุกวันนี้ที่ว่าพันธสัญญาใหม่เป็นบัญญัติใหม่ ความคิดของพระบัญญัติใหม่ที่ถูกนำมาใช้กับพันธสัญญาใหม่ไม่มีรากฐานในพระคัมภีร์!  ผู้ที่สร้างข้อโต้แย้งนี้มักจะใช้ข้อพระคัมภีร์สองสามข้อจาก อ.เปาโลและสร้างภาพที่สวยงามของไม้กางเขนพร้อมกับข้อความ ‘พันธสัญญาเก่า’ไว้ด้านซ้ายรวมทั้งข้อความ”พระบัญญัติ” และด้านขวามีข้อความ’พันธสัญญาใหม่’และคำว่า ‘พระคุณ’ แต่คุณจะไม่เห็นว่ามีศิษยาภิบาลเข้าถึงข้อพระคัมภีร์โดยตรงเพื่อรู้จริงในสิ่งที่เกี่ยวพันธ์กับพันธสัญญาใหม่ ผมไม่รู้เลยว่าพันธสัญญาใหม่นั้นเกี่ยวกับอะไรนอกจากเรื่องที่ผมเคยถูกสอนโดยคริสตจักร วันนี้มีคริสเตียนกี่คนที่ศึกษาหัวข้อเหล่านี้ด้วยตนเอง?

อ่านด้วยตัวเอง เยเรมีย์ 31: 31-40, เอเศเคียล 36: 22-38 และ ฮิบรู 8: 1-13 (อ้างถึง เยเรมีย์ 31:31) และถามคำถาม 3 ข้อถัดไป:

  1. เกิดอะไรขึ้นกับพันธสัญญาเดิม ?
  2. มีอะไรใหม่ในพันธสัญญาใหม่ ?
  3. และจะทำพันธสัญญาใหม่กับใคร ?

สุดท้ายจะทำให้คุณตกใจเพราะพระเจ้าไม่ได้ทำพันธสัญญาใหม่กับคนต่างชาติ!

สิ่งนี้จะนำเราไปสู่ความเข้าใจผิดครั้งใหญ่อีกครั้งในคริสตจักรทุกวันนี้เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลายคนจะพูด แต่พันธสัญญาเดิมมีไว้สำหรับชาวยิวและพันธสัญญาใหม่มีไว้สำหรับคนต่างชาติ ดูข้อพระคัมภีร์ทั้งหมดที่ยกมาในการทดสอบของชาวเมืองเบโรอา มันพูดถึงอิสราเอลตลอดเวลาเช่น:

อพยพ 31:16-17 เหตุฉะนี้ ชนชาติอิสราเอลจงรักษาวันสะบาโตไว้ คือถือวันสะบาโตตลอดชั่วอายุของเขาเป็นพันธสัญญาเนืองนิตย์
เป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับชนชาติอิสราเอลว่า ในหกวันพระเยโฮวาห์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก แต่ในวันที่เจ็ดพระองค์ได้ทรงงดการงานไว้ และได้ทรงหย่อนพระทัยในวันนั้น'”

สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้ก็คือพวกเขาต่างกันมากเมื่อพระคัมภีร์พูดถึงชาวอิสราเอลและชาวยิว ยิวเป็นทายาทของวงค์วานยูดาห์ และอีกวงค์วานของอิสราเอล มีคริสเตียนไม่กี่คนที่รู้ว่าอิสราเอลได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 อาณาจักรอาณาจักรทางเหนือซึ่งเป็นราชวงศ์ของอิสราเอล (10 เผ่า) และอาณาจักรทางใต้ซึ่งเป็นราชวงศ์ของยูดาห์ (เผ่ายูดาห์และเบนจามิน +บางส่วน ของเผ่าเลวี) ทั้งสองถูกเนรเทศเพราะไม่เชื่อฟังพระราชบัญญัติของพระเจ้า วงศ์วานของอิสราเอลถูกจับก่อนและถูกเนรเทศโดยอัสซีเรีย และหลังจากนั้นวงศ์วานยูดาห์ถูกเนรเทศไปบาบิโลนโดยชาวบาบิโลน และภายหลังมีเพียงวงศ์วานของยูดาห์เท่านั้นที่กลับมายังดินแดนแห่งอิสราเอล แต่วงศ์วานอิสราเอลไม่เคยกลับมา ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงชาวยิวเรามักอ้างอิงถึงวงศ์วานยูดาห์เท่านั้น ดังนั้นในช่วงเวลาของพระเยซูอิสราเอลถูกสร้างขึ้นโดยวงศ์วานของยูดาห์

ทำไมผมพูดถึงทั้งหมดนี้ เพราะมันเป็นกุญแจสำคัญ ที่สำคัญสำหรับเราที่จะเข้าใจว่าจุดประสงค์หลักของพระเจ้าคือการรวม 2 วงค์วานเข้าด้วยกัน คือวงค์วานของอิสราเอลและวงค์วานของยูดาเข้าไว้ในอาณาจักรใหม่ที่เป็นหนึ่งประชาชนของอิสราเอลและไม่ใช่ สร้างคริสตจักรใหม่! นี่คือเหตุผลที่เราอ่านข้อพระคัมภีร์ต่อไปในพันธสัญญาใหม่

มัทธิว 15:24 พระองค์ตรัสตอบว่า “เรามิได้รับใช้มาหาผู้ใด เว้นแต่แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล” 

กิจการ 1:6-76 เมื่อเขาทั้งหลายได้ประชุมพร้อมกัน เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ให้แก่อิสราเอลในครั้งนี้หรือ” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ไม่ใช่ธุระของท่านที่จะรู้เวลาและวาระซึ่งพระบิดาได้ทรงกำหนดไว้โดยสิทธิอำนาจของพระองค์

กิจการ 9:15 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติกษัตริย์และชนชาติอิสราเอล 

กิจการ 26:6-7  บัดนี้ข้าพระองค์ต้องมายืนให้พิจารณาพิพากษา ก็เนื่องด้วยเรื่องมีความหวังใจในพระสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ตรัสแก่บรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์นั้น พวกข้าพระองค์สิบสองตระกูลได้อุตส่าห์ปรนนิบัติพระเจ้าทั้งกลางวันกลางคืน ด้วยหวังใจว่าจะบรรลุถึงความสำเร็จตามพระสัญญานั้น ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา เพราะความหวังใจอันนี้พวกยิวจึงฟ้องข้าพระองค์

เราพบการยืนยันเรื่องนี้ในพันธสัญญาเดิมด้วย:

เยเรมีย์  31:10 โอ บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเยโฮวาห์ และจงประกาศพระวจนะนั้นในเกาะทั้งหลายที่ห่างออกไป จงกล่าวว่า `ท่านที่กระจายอิสราเอลนั้นจะรวบรวมเขา และจะดูแลเขาอย่างกับผู้เลี้ยงแกะดูแลฝูงแกะของเขา’

เยเรมีย์  3:18 ในสมัยนั้นวงศ์วานของยูดาห์จะเดินมากับวงศ์วานของอิสราเอล เขาทั้งสองจะรวมกันมาจากแผ่นดินฝ่ายเหนือ มายังแผ่นดินซึ่งเรามอบให้แก่บรรพบุรุษของเจ้าให้เป็นมรดก

สดุดี106:45-48  เพื่อเห็นแก่ท่าน พระองค์ทรงระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์ และกลับทรงกรุณาตามความเมตตาอันอุดมของพระองค์ พระองค์ทรงให้ท่านได้รับความสงสารจากบรรดาผู้ที่ได้ยึดท่านไปเป็นเชลย โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด และขอทรงรวบรวมข้าพระองค์ทั้งหลายจากท่ามกลางประชาชาติต่างๆ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะโมทนาขอบพระคุณพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ และเริงโลดในการสรรเสริญพระองค์ จงถวายสาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลแต่นิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาล และขอประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า “เอเมน” จงสรรเสริญพระเยโฮวาห์เถิด

มีคาย์ 2:12 โอ ยาโคบเอ๋ย เราจะรวบรวมเจ้าทั้งหลายเป็นแน่ เราจะรวบรวมคนอิสราเอลที่เหลืออยู่ และจะตั้งเขาไว้ด้วยกันเหมือนฝูงแพะแกะที่อยู่ในเมืองโบสราห์ เหมือนฝูงสัตว์ที่อยู่ในคอก เขาจะทำเสียงดังเพราะเหตุมีคนมากมาย

อิสยาห์ 27:12 ต่อมาในวันนั้น พระเยโฮวาห์จะทรงนวดเอาข้าวตั้งแต่แม่น้ำไปจนถึงลำธารอียิปต์ โอ ประชาชนอิสราเอลเอ๋ย เจ้าจะถูกเก็บรวมเข้ามาทีละคนๆ

อิสยาห์ 56:6-8  และบรรดาบุตรชายของคนต่างชาติผู้เข้าจารีตถือพระเยโฮวาห์ ปรนนิบัติพระองค์และรักพระนามของพระเยโฮวาห์ และเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ทุกคนผู้รักษาวันสะบาโต และมิได้เหยียดหยาม และยึดพันธสัญญาของเรามั่นไว้ คนเหล่านี้เราจะนำมายังภูเขาบริสุทธิ์ของเรา และกระทำให้เขาชื่นบานอยู่ในนิเวศอธิษฐานของเรา เครื่องเผาบูชาของเขาและเครื่องสักการบูชาของเขา จะเป็นที่โปรดปรานบนแท่นบูชาของเรา เพราะนิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน สำหรับบรรดาชนชาติทั้งหลาย”องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงรวบรวมอิสราเอลที่กระจัดกระจาย ตรัสว่า “เราจะรวบรวมคนอื่นมาไว้กับเขา นอกจากคนเหล่านั้นที่ได้รวบรวมไว้แล้ว”

โอเซยา 1:11 และวงศ์วานยูดาห์กับวงศ์วานอิสราเอลจะรวมเข้าด้วยกัน และเขาทั้งหลายจะตั้งผู้หนึ่งให้เป็นประมุข และจะพากันขึ้นไปจากแผ่นดินนั้น เพราะวันของยิสเรเอลจะสำคัญมาก

อย่างที่คุณอ่านในพระคัมภีร์เกี่ยวกับพันธสัญญาใหม่และจากข้อสังเกตในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ พันธสัญญาใหม่นั้นมีเฉพาะกับวงค์วานของยูดาห์และวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น วิธีเดียวที่คนต่างชาติจะได้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรใหม่ของอิสราเอลและพันธสัญญาใหม่นี้คือโดยการต่อกิ่งเข้าไปในอาณาจักรใหม่ตามที่เปาโลกล่าวถึงในโรม 11: 11-24 เราไม่ได้อ่านต้นเกี่ยวกับเรื่องต้นมะกอก 2 ต้น แต่เป็นต้นมะกอกป่าที่แตกหน่อ ‘หน่อมะกอกป่า’ (คนต่างชาติ) ได้รับการต่อกิ่งเข้าไปในต้นหนึ่งต้น หลังจากพระคัมภีร์ข้อนี้เปาโลเขียน:

โรม 11:25-27  เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านทั้งหลายเขลาในข้อความลึกลับนี้ เกลือกว่าท่านจะอวดรู้ คือเรื่องที่บางคนในพวกอิสราเอลได้มีใจแข็งกระด้างไป จนถึงพวกต่างชาติได้เข้ามาครบจำนวน และเมื่อเป็นดังนั้น พวกอิสราเอลทั้งปวงก็จะได้รับความรอด ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า `พระผู้ช่วยให้รอดจะเสด็จมาจากเมืองศิโยน และจะทรงกำจัดอธรรมให้สูญสิ้นไปจากยาโคบ นี่แหละเป็นพันธสัญญาของเรากับเขาทั้งหลาย เมื่อเราจะยกโทษบาปของเขา’ 

จากความคิดทั้งหมดที่ว่า พันธสัญญาเดิมมีไว้สำหรับชาวยิวและพันธสัญญาใหม่มีไว้สำหรับคนต่างชาติที่ไม่มีรากฐานในพระคัมภีร์เลย เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเดียวเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ต้นเดียวและเป็นลูกของอับราฮัมทุกคนแม้จะเชื่อในพระคริสต์ ไม่มีต้นมะกอก 2 ต้น และมีร่างกาย 2 ร่างและพระบัญญัติ 2 พระบัญญัติ สำหรับชาวยิวหนึ่งและอีกหนึ่งสำหรับชาวต่างชาติ

1โครินธ์ 12:13 เพราะว่าถึงเราจะเป็นพวกยิวหรือพวกต่างชาติ เป็นทาสหรือมิใช่ทาสก็ตาม เราทั้งหลายได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายอันเดียวกัน และพระวิญญาณองค์เดียวกันนั้นซาบซ่านอยู่

เราอ่านในโรม 2: 23-29 ว่าชาวยิวผู้โอ้อวดในพระราชบัญญัติ แต่พวกเขาลบหลู่พระเจ้าด้วยการละเมิดพระราชบัญญัติเสียเอง ในขณะที่คนต่างชาติซึ่งไม่มีพระราชบัญญัติได้ประพฤติตามพระราชบัญญัติโดยปกติวิสัยนั้นไม่ใช่มี 2 พระราชบัญญัติ แต่เป็นพระบัญญัติเดียวกันทั้งหมดและสำหรับทุกคน! เปาโลกล่าวด้วยเช่นกันว่า“ คนที่เป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจตามจิตวิญญาณ มิใช่ตามตัวบทบัญญัติที่เขียนไว้”:

โรม 2:23-29  ท่านผู้โอ้อวดในพระราชบัญญัติ ตัวท่านเองยังลบหลู่พระเจ้าด้วยการละเมิดพระราชบัญญัติหรือเปล่า เพราะมีเขียนไว้แล้วว่า `คนต่างชาติพูดหมิ่นประมาทต่อพระนามของพระเจ้าก็เพราะท่านทั้งหลาย’ ถ้าท่านประพฤติตามพระราชบัญญัติ พิธีเข้าสุหนัตก็เป็นประโยชน์จริง แต่ถ้าท่านละเมิดพระราชบัญญัติ การที่ท่านเข้าสุหนัตนั้นก็เหมือนกับว่าไม่ได้เข้าเลย เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตยังประพฤติตามความชอบธรรมแห่งพระราชบัญญัติแล้ว การที่เขาไม่ได้เข้าสุหนัตนั้นจะถือเหมือนกับว่าเขาได้เข้าสุหนัตแล้วไม่ใช่หรือ และคนทั้งหลายที่ไม่เข้าสุหนัตซึ่งเป็นตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ประพฤติตามพระราชบัญญัติ เขาจะปรับโทษท่านผู้มีประมวลพระราชบัญญัติและได้เข้าสุหนัตแล้ว แต่ยังละเมิดพระราชบัญญัตินั้น  เพราะว่ายิวแท้ มิใช่คนที่เป็นยิวแต่ภายนอกเท่านั้น และการเข้าสุหนัตแท้ก็ไม่ใช่การเข้าสุหนัตซึ่งปรากฏที่เนื้อหนังเท่านั้น คนที่เป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจตามจิตวิญญาณ มิใช่ตามตัวบทบัญญัติ คนอย่างนั้นพระเจ้าสรรเสริญ มนุษย์ไม่สรรเสริญ

เขายังพูดอีกว่า:

กาลาเทีย 3:26-29  เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะเหตุว่า ทุกคนในพวกท่านที่รับบัพติศมาเข้าร่วมในพระคริสต์แล้ว ก็ได้สวมชีวิตพระคริสต์ จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไทย จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระเยซูคริสต์
และถ้าท่านเป็นของพระคริสต์แล้ว ท่านก็เป็นเชื้อสายของอับราฮัม คือเป็นผู้รับมรดกตามพระสัญญา

โดยการเข้าสุหนัตของจิตใจคุณจะกลายเป็นบุตรของอับราฮัมและบุตรของพระเจ้าและโดยสิ่งนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอลและพันธสัญญาของพระเจ้ากับวงศ์วานของยูดาห์และวงศ์วานของอิสราเอล!

สรุป

พระเยซูใช้คำที่แข็งแกร่งมากเพื่อเน้นความชัดเจนว่าพระองค์ไม่ได้มาเพื่อทำให้พระบัญญัติจบสิ้น  แต่พระองค์มาขยายความเพื่อทำให้มันง่ายสำหรับเราที่จะเข้าใจ พระองค์กำลังอ้างถึง 2 เหตุผลในพระคัมภีร์ ถึงฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรหนึ่งหรือจุดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากพระราชบัญญัติ จนกว่าจะสำเร็จทั้งสิ้น  ดังนั้นถ้าคุณตื่นขึ้นมาและสังเกตว่าโลกยังอยู่ที่นี่ให้จำสิ่งที่พระเยซูตรัสไว้:

ฟ้าและดินจะล่วงไปก็ง่ายกว่าที่พระราชบัญญัติสักจุดหนึ่งจะขาดตกไป  (ลูกา16:17)

ขอให้พระเจ้าคุ้มครองท่านและอย่าลืมทดสอบทุกอย่าง!